"เอ ศุภชัย" ย้อนตอนเจอ "อั้ม" ได้เงินเดือนแค่ 8,000 บาท ได้เป็นเพราะขอติดรถกลับบ้าน

LIEKR:

"น้องอั้มชวนให้มาเป็นผู้จัดการ น้องให้เงินเดือน 8 พันบาท" #เอศุภชัย กล่าว

        นักปั้นมือทองระดับท็อปของเมืองไทย “เอ ศุภชัย” ที่ปลุกปั้นเหล่าซุปตาร์มาแล้วนับไม่ถ้วน ซึ่งถ้าได้ติดตามอินสตาแกรมของเอก็จะเห็นภาพคู่กับซุปตาร์สาวอย่าง “อั้ม พัชราภา” ที่ลงมาให้ชมกันเรื่อย ๆ

        ย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่เอได้ออกมาโพสต์ภาพเมื่อครั้งที่เจออั้มครั้งแรก พร้อมแคปชั่นว่า “คิดแคปชั่นไม่ออก ซ่อนกลิ่น แล้วกัน 555 ฝันดีอยากเอาเอว24 กลับมา (ตอนที่แม่น้องอั้มเจอ หน้าตาประมาณนี้ค่ะ วันนี้มีคนถามเยอะ ว่าตอนเจออั้มแรกๆหน้าตาอย่างไร) @aum_patchrapa”

        อยู่เบื้องหลังการปลุกปั้นซุปตาร์ดัง ๆ ประดับวงการบันเทิงมานับไม่ถ้วนไม่ว่าจะเป็น “อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ”, “ป๋อ ณัฐวุฒิ สกิดใจ”, “เวียร์ ศุกลวัฒน์ คณารศ” มาถึง “ณเดชน์ คูกิมิยะ” และ “มาริโอ้ เมาเร่อ”

        จนขึ้นหิ้งเป็นนักปั้นมือทองระดับท็อปของเมืองไทยที่มีตาคมดุจเหยี่ยว สำหรับ “เอ ศุภชัย ศรีวิจิตร” กว่าจะมีวันนี้ไม่ใช่ง่าย ๆ แต่การจะรักษาบัลลังก์ความเป็นหนึ่งไว้กลับยากยิ่งกว่า

จุดเริ่มต้นของนักปั้นมือทองมาจากไหน

        ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นนักปั้นมือทอง คิดแต่ว่าเราเป็นคนทำงานในหน้าที่อาชีพที่รับผิดชอบ และเวลาทำอะไรเป็นคนจริงจัง คือจะเทหมดหน้าตัก ที่จริงตอนเด็ก ๆ ฝันอยากเป็นดารา

        เพราะตอนอยู่นครศรีธรรมราช บ้านลำบากมาก ทีวีเพิ่งเข้าตอนเราอายุ 8-9 ขวบ สมัยนั้นบ้านไม่มีไฟฟ้า ต้องใช้แบตเตอรี่ปั่นไฟ พอเราเห็นทีวี ก็ฝันว่าอยากไปอยู่ในทีวี สมัยนั้นจะดูหนังสักเรื่อง ต้องนั่งรถสิบล้อขนไม้จากบ้านเข้าไปในเมือง 30 กิโล

ได้วิ่งไล่ตามหาความฝันเพื่อเป็นดาราอย่างจริงจังหรือเปล่า

        หลังจบชั้นมัธยม ก็เข้ากรุงเทพฯ มาเรียนวิศวะ ที่มหาวิทยาลัยรังสิต ทำให้เห็นโลกกว้างขึ้น และชีวิตได้ใกล้ชิดดารามากขึ้น เพราะที่ ม.รังสิตมีดาราเรียนเยอะ และบังเอิญเป็นเพื่อน “ยุ้ย ปัทมวรรณ เค้ามูลคดี” ซึ่งเรียนคณะนิเทศฯ เลยได้ไปกองถ่ายละครกับ “น้องยุ้ย” และได้รับการชักชวนให้เล่นเป็นตัวประกอบ รับเงิน 500-700 บาท

จากตัวประกอบเล็ก ๆ ผันตัวมาเป็นนักปั้นดาราได้อย่างไร

        เป็นคนทำอะไรก็ต้องทำให้ได้ เลยบอกตัวเองว่าถ้าไม่ได้ดีจะไม่กลับบ้าน!! จังหวะโชคดีที่ตอนเรียน ม.รังสิต ได้รู้จักกับ “อั้ม พัชราภา”

        ตอนนั้นน้องยังไม่เป็นดารา ด้วยนิสัยเราที่ชอบคุยกับคนสวย ก็เลยเข้าไปคลุกคลีสนิทสนม และขอติดรถอั้มกลับบ้าน หลังจากนั้น “อั้ม” ได้เข้าวงการ เป็นช่วงที่เราตกงานเพราะฟองสบู่แตกตอนปี 2540 “อั้ม” เลยชวนให้มาเป็นผู้จัดการ น้องให้เงินเดือน 8 พันบาท

        และแนะนำให้ปั้นใครขึ้นมาเป็นดาราอีกสักคน จะได้มีรายได้เสริม เราเลยปั้น “ป๋อ ณัฐวุฒิ” เพราะเห็นกันมาตั้งแต่เป็นรุ่นน้องวิศวะ ที่ ม.รังสิต ก็เริ่มอาชีพนักปั้นจากตรงนั้น 18 ปีมาแล้ว 

.

        หลังจากนั้นก็เป็นรุ่น “เวียร์” และ “ณเดชน์” แล้วก็ปั้นมาอีกเรื่อย ๆ 

สูตรลับความสำเร็จของ “เอ–ศุภชัย” อยู่ตรงไหน ทำไมปั้นใครก็ดังเปรี้ยงปร้าง

        “เอ” จะไปมองหาเด็กตามภูมิภาคต่าง ๆ อย่าง “น้องเวียร์” มีคนส่งรูปมาทางมือถือเครื่องนี้ โนเกีย N70 ใช้มาเกือบ 15 ปีแล้ว ไม่เคยทิ้ง เพราะผูกพันมาก “เอ” บินไปขอนแก่นเลย ไปเดินหาเวียร์ทั่วมหาวิทยาลัยขอนแก่น เดินอยู่เป็นวัน มีแค่รูปเวียร์ในมือถือ

        เดินจนท้อแล้วจะกลับบ้านอยู่แล้ว ถามใครก็ไม่รู้จัก กระทั่งเจอคนรู้จักบอกว่าเวียร์อยู่หอพักชาย ให้ลองไปดัก เราไปรอตั้งแต่ 6 โมงเย็นถึง 3 ทุ่ม ก็ได้เจอเวียร์จริง ๆ น้องเพิ่งเตะบอลกลับมา แต่ใช้เวลากล่อมอีกครึ่งปี! เพราะคนต่างจังหวัดเรียนวิศวะ เค้าไม่อยากเข้าวงการบันเทิงหรอก เราต้องกล่อมให้เชื่อใจ

ได้ข่าวว่า “เอ–ศุภชัย” ทุ่มเทและทุ่มทุนมากกับการปั้นเด็ก

        จริง ๆ ทำงานกับทุกคน “เอ” ก็ทุ่มทุนหมด อย่างตอนที่ทำงานกับ “น้องเวียร์” เราจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินให้น้อง 1 ปีเต็ม ๆ เพื่อไม่ให้เสียการเรียน “เอ” รับปากพ่อแม่น้องว่าไม่ต้องห่วงนะครับ จะไม่ให้น้องต้องเสียการเรียนแน่นอน

        ยุคนั้นค่าตัวเวียร์สตาร์ตตอนหนึ่งแค่หมื่นห้า ละครเรื่องหนึ่งได้ 2-3 แสนบาท แต่เราจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินขอนแก่น-กรุงเทพฯ ไป 4 แสนบาท ยังไม่รวมที่อยู่ที่กิน เสื้อผ้าหน้าผม นี่คือสิ่งที่ลงทุนให้น้อง

        โชคดีที่รุ่นแรก ๆ อย่าง “เวียร์” และ “ณเดชน์” มาถึงก็ใช้งานได้เลย ไม่ต้องทำหน้า

        แต่ช่วงหลังบุคลากรผลิตไม่ทันป้อนวงการ ก็ต้องใช้วิธีเร่งรัดบ้าง พาน้อง ๆ ไปทำหน้าที่เกาหลี เราลงทุนจ่ายให้หมด คือเกือบสวยเกือบหล่อแล้วทำอีกนิดหน่อยก็ใช้ได้

จากผู้จัดการเงินเดือน 8,000 บาท

สู่นักปั้นมือทอง ที่หาตัวจับยาก

ที่มา : Instagram a_supachai1

บทความที่คุณอาจสนใจ