สาวท้อใจ เผชิญ "อาการแพ้น้ำ" เหงื่อออกอาบน้ำไม่ได้ แม้แต่น้ำตาก็ยังแพ้ !
LIEKR:
อาการแพ้ของคนเรานั้นมีหลากหลายประเภท หากเพียงเป็นอาการแพ้สิ่งของภายนอกที่ยังพอควบคุมได้ก็ยังไม่ลำบากมากนัก แต่ถ้าร่างกายของเราแพ้ ‘น้ำ’ ล่ะ? น้ำที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน กลับทำให้ชีวิตยากลำบากขึ้นจะเป็นอย่างไร?
เว็บไซต์ต่างประเทศได้มีการแบ่งปันเรื่องราวของ นักศึกษาสาว Tessa Hansen-Smith วัย 21 ปีจากรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เธอได้ออกมาเปิดเผยถึงประสบการณ์การใช้ชีวิตอย่างลำบาก หลังต้องเผชิญกับ "โรคแพ้น้ำ" ทำให้เธอต้องทนทุกข์มายาวนานกว่า 10 ปี
โดยครอบครัวของ Tessa สังเกตเห็นอาการผิดปกนี้ เมื่อตอนที่เธอมีอายุ 8 ขวบ ตอนนั้นเธออาบน้ำเสร็จและมีอาการผื่นขึ้นตามตัว ในตอนแรก แม่ของเธอที่เป็นหมอนั้นก็เชื่อว่าลูกสาวอาจแพ้พวกสบู่หรือแชมพู แต่เมื่อลองตรวจดูอย่างละเอียด ถึงได้ทราบว่าแท้จริงแล้วเธอแพ้น้ำและมันก็มีอาการหนักขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเธอโตขึ้น
หลังจากนั้นมา โรคภูมิแพ้น้ำ (Aquagenic urticaria) มันได้เปลี่ยนชีวิตของเธอไปอย่างสิ้นเชิง เธอต้องใช้ชีวิตที่แตกต่างไปจากคนอื่น โดยเธอไม่สามารถสัมผัสกับน้ำได้เลย น้ำที่เธอสัมผัสไม่ได้นั้น ก็ไม่ได้หมายถึงแค่น้ำเปล่า แต่ยังรวมถึงน้ำในผักและผลไม้ ไม่เว้นแม้แต่เหงื่อ น้ำตาหรือน้ำลายของเธอเอง
เมื่อไหร่ก็ตามที่มีเหงื่อออก ร้องไห้ หรืออาบน้ำ ก็จะมีผื่นแดงขึ้นตามร่างกายทันที บางครั้งอาการรุนแรงหนักถึงขั้นรู้สึกคลื่นไส้ ไข้ขึ้น และบางครั้งก็รู้สึกเหมือนกล้ามเนื้ออ่อนแรง
Tessa เล่าว่า เวลาจิบน้ำแล้วเธอก็จะรู้สึกระคายคอและรู้สึกราวกับว่ามันบาดลิ้นนิดๆ เช่นเดียวกันกับตอนที่เธอมีน้ำลายอยู่ในปากเป็นจำนวนมาก หนักๆ เข้าอาจทำให้เธอไข้ขึ้นได้เลย
แต่ที่สำคัญคือเธอไม่สามารถสัมผัสกับเหงื่อของตัวเองได้ด้วย เพราะอย่างนั้นเองเธอจึงไม่สามารถเล่นกีฬา ทำกิจกรรมบางอย่างที่อาจทำให้เหงื่อออก แม้แต่จะออกไปเดินเล่นรอบมหาวิทยาลัยก็ยังไม่ได้ และในช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัยเช่นนี้ เธอจึงจำเป็นต้องอาศัยนั่งรถไปมารอบๆ บริเวณมหาวิทยาลัยเพื่อป้องกันไม่ให้เหงื่อออกแทน
เธอยังบอกอีกว่า ปกติแล้วจะอาบน้ำแค่เดือนละ 2 ครั้งเท่านั้นเอง
“มันเป็นสภาพที่ใช้ชีวิตได้ยากมากๆ ค่ะ เพราะฉันแพ้แม้กระทั่งน้ำตา น้ำลาย และเหงื่อของตัวเอง ฉันจึงต้องลีกเลี่ยงสัมผัสกับความร้อนและกิจกรรมออกกำลังทุกอย่าง”
“ฉันต้องนั่งรถไปรอบๆ มหาวิทยาลัยเพราะไม่อย่างนั้น เวลาเข้าเรียนจะมีไข้ขึ้น ปวดไมเกรนพร้อมกับผื่นแดง ทำให้ยากที่จะมีสมาธินั่งเรียน”
ปัจจุบันนี้ Tessa ต้องทานยาแก้แพ้และยาอื่นๆ วันละกว่า 12 ชนิด เพื่อรักษาอาการให้คงที่ ลดผื่นแดงคันต่างๆที่เกิดขึ้นทั่วร่างกาย
“การเป็นโรคภูมิแพ้น้ำอาจจะนำไปสู่สภาวะกดดันทางอารมณ์ได้ มันยากที่จะต้องทานยาหลายเม็ดทุกวันแบบนี้โดยที่รู้ดีว่ามันจะไม่มีทางหาย ฉันมักจะเตือนตัวเองเสมอว่ามันไม่มีทางรักษาได้ มันเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับในบางครั้ง”
แม้ว่าการใช้ชีวิตประจำวันของ Tessa จะยากลำบากแค่ไหน เธอยืนกรานว่าจะไม่ปล่อยให้สภาพของเธอเป็นตัวกำหนดชีวิตที่เหลืออยู่… “ฉันพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะใช้ชีวิตในแต่ละวัน เพราะบางวันมันก็ดีกว่าวันอื่นๆ นะคะ
ถ้าฉันไปหาเพื่อนกับคนที่ฉันรักได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องรีบกลับเพราะอาการป่วย หรือเรียนครบทุกคาบในหนึ่งวัน นั่นก็ถือว่าเป็นชัยชนะของฉันแล้วค่ะ”
จ้อมูลและภาพจาก เดลี่ เมล