เปิดสูตร "กินอาหารตามกรุ๊ปเลือด" เลี่ยงอาหารที่ไม่เหมาะกับร่างกาย สุขภาพดีใกล้แค่เอื้อม!

LIEKR:

แนะสูตรกินอาหารตามกรุ๊ปเลือด อะไรควรกิน อะไรควรงด ลองดูไม่เสียหายแถมได้สุขภาพดี!

"ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าอาหารนั้นๆ มีประโยชน์หรือไม่ แต่มันขึ้นอยู่กับว่าอาหารนั้นๆ เหมาะกับร่างกายของเราหรือไม่ต่างหาก"

        หนึ่งในปัจจัยพื้นฐาน 4 อย่าง คือสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิต ซึ่ง "อาหาร" สิ่งที่เรารับประทานเข้าไปนั้น ถ้าร่างกายนำไปใช้ได้ก็จะเป็นอาหารที่ช่วยหล่อเลี้ยงและซ่อมแซมร่างกาย แต่ถ้านำไปใช้ไม่ได้ก็อาจเป็นพิษและเร่งความเสื่อมของร่างกาย ทำให้เกิดความเจ็บป่วยตามมาในที่สุด 

ทำไมต้องกินอาหารตามกรุ๊ปเลือด?

        กินอาหารตามกรุ๊ปเลือด เป็นแนวทางที่ได้รับการยอมรับมาว่า ช่วยรักษาโรคภูมิแพ้ต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ โดย ดร.ปีเตอร์ ดี อาดาโม ผู้ที่ได้รับรางวัลแพทย์ธรรมชาติบำบัดยอดเยี่ยมจากสหรัฐอเมริกา ปี ค.ศ.1990 ได้อธิบายไว้ในหนังสือ Eat Right for Your Type โดยเขาเชื่อว่า "เลือดแต่ละกรุ๊ปมีสารเคมีในเลือดที่แตกต่างกัน โดยมีแอนติเจนกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ซึ่งอาหารทุกชนิดล้วนมีโปรตีนที่เป็นอนุมูลอิสระ มีคุณสมบัติในการเหนี่ยวนำและจับเกาะติดเลือดที่เรียกว่า "เลกติน" ถ้าเรากินอาหารที่มีเลกตินไม่เหมาะกับเลือด ก็จะทำให้เลกตินเข้าไปรบกวนการทำงานของระบบย่อยอาหาร การเผาผลาญ การสร้างอินซูลิน และความสมดุลของฮอร์โมน"

        จากความแตกต่างของสารเคมีในเลือดนี่เอง จึงทำให้เลือดแต่ละกรุ๊ปมีความสามารถในการย่อยต่างกัน ถ้าสามารถย่อยได้หมด ร่างกายก็จะนำสารอาหารไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ แต่ถ้าย่อยไม่หมด ก็จะตกค้างอยู่ในร่างกายและเน่าเสีย เมื่อถูกดูดซึมกลับไปอีกครั้งก็จะทำให้ร่างกายป่วยง่ายขึ้น แม้ว่าในปัจจุบันนี้ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนแนวคิดของ ดร.ปีเตอร์ ดี อาดาโม ที่ว่าหมู่เลือดกับอาหารนั้นมีความสัมพันธ์กัน แต่ลองทานกันดูก็ไม่เสียหาย

        สำหรับคนไทยกับชาวต่างชาติ แม้จะมีกรุ๊ปเลือดเดียวกัน แต่ก็ควรกินอาหารต่างกันตามภูมิประเทศที่อยู่ด้วย เพราะอาหารแต่ละชนิดจะเหมาะกับคนในภูมิประเทศนั้นๆ เนื่องจากมีสภาพอากาศและสภาพแวดล้อมเป็นตัวกำหนดว่าคนท้องที่ใดควรกินอาหารแบบใด เช่น คนไทยที่ย้ายไปอยู่ต่างประเทศที่มีอากาศหนาวมากๆ แต่ก็ยังกินอาหารเหมือนเดิม เช่น น้ำพริก ส้มตำ ฯลฯ และหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกชีส ขนมปัง หรือเหล้าที่นิยมดื่มเพื่อให้ความอบอุ่นหลังอาหาร ก็อาจทำให้เจ็บป่วยได้ สรุปแล้วไม่ว่าคุณจะเป็นคนกรุ๊ปเลือดใดก็ตาม ก็ควรจะกินอาหารให้เหมาะกับภูมิประเทศและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้วย จึงจะดีที่สุด

ความสัมพันธ์ของอาหารกรดและด่างกับกรุ๊ปเลือด

        ปกติแล้วอาหารที่มีค่า pH 7.4 หรือมีความเป็นด่างอ่อนๆ คือ ระดับที่เหมาะสมที่สุด แต่เมื่อเรากินเข้าไปจะเกิดการย่อยโดยกรดในกระเพาะอาหาร หากเรากินอาหารที่มีกรดมากๆ อย่าง เนื้อสัตว์ แป้ง หรือไขมัน อาหารเหล่านี้ก็จะไปเพิ่มความเป็นกรดและความเข้มข้นของเลือดให้มากขึ้น จนทำให้การไหลเวียนของเลือดช้าลงหรือติดขัดได้ ดังนั้นเราจึงควบคุมปริมาณของกรดและด่างในร่างกายให้สมดุล

        กรุ๊ปเลือดที่มีความเป็นกรดสูง ทำให้กินเนื้อสัตว์ได้มากที่สุด คือ กรุ๊ปเลือด O > B > AB > A

        กรุ๊ปเลือดที่มีความเป็นกรดต่ำ ควรกินผักเพื่อรักษาสมดุลให้มากที่สุด คือ กรุ๊ปเลือด A > O > AB > B

        หมายเหตุ : สาเหตุที่กรุ๊ปโอต้องกินผักมากเป็นอันดับ 2 ทั้งๆ ที่ย่อยอาหารจำพวกเนื้อได้ดี นั่นเป็นเพราะว่าเมื่อกินเนื้อมาก ก็ต้องกินผักในปริมาณมากด้วยเช่นกัน เพื่อเป็นการชดเชย ป้องกันไม่ให้ร่างกายเสียสมดุลจนเกิดโรคได้

กรุ๊ป O

        คนกรุ๊ปโอ จะเป็นคนที่กินเนื้อได้เยอะที่สุด เนื่องจากกระเพาะมีความเป็นกรดสูง ทำให้ย่อยอาหารจำพวกเนื้อได้ดีกว่ากรุ๊ปอื่นๆ แถมยังดูดซึมสารอาหารได้ดี สามารถนำไปใช้ในส่วนต่างๆ ของร่างกายได้เป็นอย่างดี แต่เพื่อความสมดุลของร่างกาย จึงไม่ควรกินเนื้อมากเกินไป โดยมีวิธีแก้คือกินผักให้มากขึ้น หรือกินในอัตราส่วนครึ่งหนึ่งของอาหารแต่ละมื้อ อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญก็คือ คนกรุ๊ปเลือดโอมักจะมีปัญหาเรื่องระดับฮอร์โมนไทรอยด์ไม่คงที่ จึงทำให้อ้วนได้ง่าย หากต้องการลดน้ำหนักควรเลือกที่จะงดคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว, แป้ง, น้ำตาล รวมไปถึงถั่วชนิดต่างๆ เพราะจะทำให้น้ำหนักขึ้นง่ายกว่าปกติ และควรระมัดระวังในเรื่องของเลือดแข็งตัวช้า เพราะคนกรุ๊ปนี้จะมีเลือดที่มีความเหลวมากที่สุด ดังนั้นจึงควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินเคด้วย เพื่อช่วยทำให้เลือดแข็งตัวได้เร็วขึ้น ส่วนการออกกำลังกายให้เน้นการเล่นกีฬาที่ออกแรงมากๆ เช่น วิ่ง ปั่นจักรยาน เต้นแอโรบิก ว่ายน้ำ ก็จะช่วยเผาผลาญแคลอรีได้เป็นอย่างดี

        อาหาร : อาหารที่เหมาะกับคนกรุ๊ปโอจะเป็นเนื้อสัตว์แทบทุกชนิด รวมไปถึงอาหารทะเลต่าง ๆ ที่มีไอโอดีนสูง แต่ต้องระวังเรื่องไขมันและคอเลสเตอรอลจากเนื้อสัตว์ด้วย ดังนั้นจึงควรกินนม เนย และไข่ในปริมาณที่พอเหมาะและหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ

        ผัก : กินได้แทบทุกชนิด โดยเฉพาะผักโขม บรอกโคลี เนื่องจากมีวิตามินเคสูง แต่ควรหลีกเลี่ยงผักตระกูลกะหล่ำเนื่องจากมีผลต่อไทรอยด์ รวมไปถึงมะกอกดองและเห็ดหอม เพราะจะทำให้เกิดอาการแพ้ ส่วนมะเขือยาวและมันฝรั่งก็ควรหลีกเลี่ยงเช่นกัน เพราะจะทำให้ปวดข้อ

        ผลไม้ : กินได้แทบทุกชนิดเช่นกัน โดยเฉพาะเชอร์รี่และบลูเบอร์รี่ รวมไปถึงผลไม้ตระกูลเกรปฟรุต เนื่องจากสามารถช่วยลดน้ำหนักได้ดี ส่วนผลไม้ที่ควรเลี่ยงคือ ส้ม สตรอว์เบอร์รี่ มะพร้าว แคนตาลูป เพราะมีความเป็นกรดสูง ถ้ากินมาก ๆ จะทำให้มีกรดในกระเพาะมากเกินไป

        เครื่องดื่ม : ควรเป็นชาจากสมุนไพรต่าง ๆ เช่น ชาพาร์สลีย์ ชาเปปเปอร์มินต์ ส่วนชาที่ควรงดคือ ชาที่ทำจากใบชา และงดการดื่มกาแฟ ชา เบียร์ เพราะจะเป็นการเพิ่มกรดในกระเพาะอาหารให้หนักเข้าไปอีก

        อาหารที่คนกรุ๊ปโอควรรับประทานบ่อยครั้ง : เนื้อแกะ, เนื้อวัว, ปลาค้อด, ปลาเทราต์, ปลาจะละเม็ด, ปลากะพงแดง, ผักโขม, บรอกโคลี่, พาร์สลีย์, สาหร่ายทะเล, เชอร์รี่, บลูเบอร์รี่, สับปะรด, ชาเขียว, น้ำมันมะกอก, กระเทียม, ขิง, ขมิ้น, หอมหัวใหญ่, หอมหัวเล็ก, ถั่ววอลนัต เป็นต้น

        อาหารที่คนกรุ๊ปโอควรงดหรือหลีกเลี่ยง : แฮม, เบคอน, ปลาดุก, นมและผลิตภัณฑ์จากนม, ข้าวสาลี, ข้าวบาร์เลย์, ข้าวโพด, ดอกกะหล่ำ, แตงกวา, มันฝรั่ง, กีวี, แคนตาลูป, มะขาม, มะพร้าว, อะโวคาโด, แบล็กเบอร์รี่, ส้ม, พริกไทย, น้ำมันถั่วเหลือง, ถั่วลิสง, ถั่วแดง, ถั่วพิสตาชิโอ, ถั่วขาว, เมล็ดทานตะวัน, เม็ดมะม่วงหิมพานต์, เบียร์ เป็นต้น

        เมนูอาหารของคนกรุ๊ปโอ : ผัดบรอกโคลี่กุ้งย่างแบบจีน, ข้าวผัดผักรวมกับหมูย่างกะเพรา, ข้าวหุงขมิ้นไก่โหระพา, หมูอบขิง, ตับหวาน, สลัดปลากะพงขาวซอสเลมอน, ข้าวอบสับปะรดปลา, ไก่ทอดกระเทียมกับขมิ้น, สเต๊กปลาเทราต์อบสมุนไพร, ยำสาหร่ายวากาเมะกับกุ้งกระเทียมย่าง, ซุปหอมหัวใหญ่ปลากะพง, ซุปสาหร่ายตุ๋นดอกไม้จีน, ซุปบรอกโคลี่, เนื้อทอดกระเทียมยำตะไคร้สด, ปลาหมึกชุบแป้งทอด, เนื้อสันในม้วนผักโขม, พุดดิ้งชาเขียว, แพนเค้กมิกซ์เบอร์รี่, สมูทตี้บลูเบอร์รี่แอนด์เชอร์รี่, น้ำลูกพรุน เป็นต้น

กรุ๊ป A

        คนกรุ๊ปเอ เรียกได้ว่าเป็นนักมังสวิรัติเลยก็ว่าได้ เพราะคนกรุ๊ปเลือดเอจะกินเนื้อสัตว์ได้น้อยที่สุดและต้องกินผักที่สุด เนื่องจากมีกรดในกระเพาะอาหารต่ำมากและมีความเข้มข้นของเลือดสูง ถ้ากินเนื้อสัตว์บ่อยๆ จะทำให้เลือดหนืดและไหลเวียนช้า ทำให้เป็นโรคหัวใจได้ และยังมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งและเบาหวาน รวมไปถึงปัญหาเรื่องระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ทำงานได้ไม่เต็มที่ สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก การรับประทานมังสวิรัติจะช่วยทำให้เห็นผลได้เร็วมาก แถมยังช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกายอีกด้วย ส่วนการออกกำลังกายให้เน้นออกกำลังกายแบบเบาๆ ไม่ออกแรงมากนัก เช่น โยคะ และเมื่อมีความเครียดก็แก้ไขได้ด้วยการนั่งสมาธิเป็นประจำ

        อาหาร : ควรหลีกเลี่ยงการกินเนื้อสัตว์ต่างๆ ยกเว้นปลาแซลมอน ปลาทู ปลาค้อด ปลากะพง และปลาซาร์ดีน ที่สามารถกินได้สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง เพื่อช่วยเสริมโปรตีน และควรหลีกเลี่ยงการรับประทานปลาจะละเม็ดและปลาตาเดียว เนื่องจากมีเลกตินสูง จะทำให้เลือดหนืดและไหลเวียนช้า ส่วนโปรตีนควรได้รับจากถั่วเหลืองหรือน้ำนมถั่วเหลืองทดแทนจากเนื้อสัตว์ ส่วนไข่กินได้บางครั้ง ข้าวกล้องหรือซีเรียลกินได้วันละ 1-2 ครั้ง

        ผัก : สามารถกินได้ทั้งดิบและสุก โดยเฉพาะบรอกโคลี หอมหัวใหญ่ เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง รวมไปถึงแคร์รอต ผักโขม และกระเทียม ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกัน และฟักทองที่ช่วยเรื่องกรดในกระเพาะอาหาร

        ผลไม้ : กินผลไม้ได้แทบทุกชนิด ยกเว้น กล้วย แคนตาลูป แตงโม มะม่วง มะละกอ ส้ม เพราะย่อยได้ยาก เป็นตัวขัดขวางการดูดซึมของวิตามิน และทำให้ระคายเคืองกระเพาะ

        เครื่องดื่ม : ที่แนะนำให้ดื่ม คือ ชา กาแฟ และไวน์แดง (แต่กาแฟไม่ควรดื่มเกินวันละ 1 แก้ว) โดยควรดื่มหลังอาหารเท่านั้นเพื่อช่วยในการย่อยอาหาร เพราะเป็นเครื่องดื่มที่ช่วยเพิ่มกรด และควรหลีกเลี่ยงการดื่มเบียร์ โซดา และน้ำอัดลม เพราะจะทำให้มีกรดในกระเพาะมากเกินไป

        อาหารที่คนกรุ๊ปเอควรรับประทานบ่อยครั้ง : ปลาแซลมอน, ปลาค้อด, ปลาซาร์ดีน, บรอกโคลี, เซเลอรี่, พาร์สลีย์, ผักโขม, กระเทียม, ขิง, ขมิ้น, หอมหัวใหญ่, หอมเล็ก, เลมอน, สับปะรด, ลูกพลัม, ลูกพรุน, ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่, น้ำมันมะกอก, ถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง, ถั่ววอลนัต, ชาเขียว เป็นต้น

        อาหารที่คนกรุ๊ปเอควรงดหรือหลีกเลี่ยง : หมู, เป็ด, แฮม, เบคอน, กุ้งมังกร, ปู, ปลากะตัก, ปลาลิ้นหมา, ปลาดุก, หอยนางรม, หอยแครง, นมและผลิตภัณฑ์จากนม, กะหล่ำปลี, มะระ, มะเขือม่วง, มะเขือเทศ, พริกไทย, จมูกข้าว, ข้าวโพด, มันฝรั่ง, กล้วย, มะม่วง, มะละกอ, มะขาม, มะพร้าว, ส้ม, น้ำมันถั่วเหลือง, เม็ดมะม่วงหิมพานต์, ถั่วพิสตาชิโอ, ถั่วแดง เป็นต้น

        เมนูอาหารของคนกรุ๊ปเอ : ข้าวผัดปลาซาร์ดีนต้มยำ, ข้าวจี่กุ้งสับ, ข้าวยำธัญพืช, ยำแซลมอนสดกับกระเทียม, ยำใบชะพลูกุ้งคั่ว, เปาะเปี๊ยะญวนแซลมอน, ฟองเต้าหู้ทอดผัดวุ้นเส้น, พล่าเต้าหู้กรอบ, ซุปเต้าหู้รสจัด, ซุปฟักทอง, ซุปถั่วเขียว, เผือกบดทอดสอดไส้กุ้ง, เต้าหู้อบหม้อดิน, ไก่อบยัดไส้ผักโขมและลูกพรุน, ปลาบดทอดกรอบ, สเต๊กแซลมอนราดซอสเต้าหู้, ถั่วเขียวต้มน้ำตาล, ไอศกรีมนมถั่วเหลืองโฮมเมด, ไอศกรีมน้ำเต้าหู้, ชาเขียวเย็นโซดา, เกรปฟรุตมะนาวสมูทตี้ เป็นต้น

กรุ๊ป B

        คนกรุ๊ปบี เป็นกรุ๊ปที่ค่อนข้างมีความยืดหยุ่นทางอาหารสูง คือ กินได้ทั้งเนื้อสัตว์และผักในปริมาณที่พอดี ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป เพราะมีความเข้มข้นของเลือดอยู่ในระดับกำลังดี แต่ปัญหาคือ จะเป็นคนอ้วนง่ายและภูมิคุ้มกันบกพร่องง่าย บางรายอาจมีปัญหาเรื่องการติดเชื้อไวรัสต่าง ๆ มีระบบประสาทไม่ค่อยดี มีอาการปวดตามข้อเป็นประจำ และมีโอกาสเกิดโรคภูมิแพ้ตัวเอง แต่คนกรุ๊ปเลือดบีจะไม่มีแนวโน้มเป็น โ ร ค ม ะ เ ร็ ง หรือโรคหัวใจเหมือนคนกรุ๊ปเอ สำหรับผู้ที่ควบคุมน้ำหนักควรหลีกเลี่ยงข้าวโพด งา ถั่ว และมะเขือเทศ เพราะมีผลต่อการสร้างอินซูลินและระบบเผาผลาญอาหาร การออกกำลังกายควรออกกำลังกายแบบไม่หักโหมมากนัก แต่ก็ไม่เบาจนเกินไป เช่น เล่นเทนนิส ศิลปะป้องกันตัว การปีนเขา เป็นต้น

        อาหาร : อาหารที่เหมาะสมคือ เนื้อกระต่าย แกะ กวาง ไก่งวง ปลาหิมะ ปลาแซลมอน ปลาเนื้อขาวอย่างปลาจะละเม็ด ปลาตาเดียว ส่วนเนื้อไก่ กุ้ง ปู หอยเชลล์ และหอยแครงควรจะหลีกเลี่ยง เพราะมีผลต่อการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ส่วนนม เนย และไข่ กินได้ในปริมาณที่เหมาะสม ควรเน้นกินข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต และหลีกเลี่ยงแป้งสาลี แป้งโฮลวีต และถั่วลิสง เพราะไม่ดีต่อระบบเผาผลาญ ทำให้อ้วนได้ง่ายและส่งผลไม่ดีต่อเลือด ดังนั้นจึงไม่ควรกินขนมปังแบบที่มีขายอยู่ทั่วไป ถ้าอยากกินจริงๆ ให้เลือกที่ทำจากแป้งสเปลท์ (Spelt) เพราะจะช่วยต้านเชื้อโรคและบำรุงประสาท แต่จะหาได้ยากหน่อยนะ

        ผัก : ที่ควรกินคือ กะหล่ำปลี บรอกโคลี หอมหัวใหญ่ ขิง รวมไปถึงผักใบเขียวทุกชนิด เพราะมีแมกนีเซียมสูง สามารถช่วยป้องกันอาการผื่นคันและภูมิแพ้ได้

        ผลไม้ : กินได้แทบทุกชนิด โดยเฉพาะ "สับปะรด" เนื่องจากมีเส้นใยอาหารสูง แถมยังช่วยทำให้เลือดหมุนเวียนได้ดีอีกด้วย แต่ผลไม้ที่ควรจะหลีกเลี่ยงคือ ลูกพลับ ลูกแพร์ และทับทิม

        เครื่องดื่ม : ที่แนะนำให้ดื่มคือ น้ำขิง ชาเชียว โสม และเปปเปอร์มินต์ เพราะช่วยบำรุงประสาท

        อาหารที่คนกรุ๊ปบีควรรับประทานบ่อยครั้ง : เนื้อแกะ, เนื้อแพะ, ปลาจะละเม็ด, ปลาซาร์ดีน, ปลาค้อด, กะหล่ำปลี, บรอกโคลี่, ขิง, ขมิ้น, หอมหัวใหญ่, หอมเล็ก, แครนเบอร์รี่, สับปะรด, ลูกพลัม, ลูกพรุน, แตงโม, เมล็ดแฟล็กซ์, น้ำมันมะกอก, ชาเขียว, โยเกิร์ต เป็นต้น

        อาหารที่คนกรุ๊ปบีควรงดหรือหลีกเลี่ยง : แฮม, เบคอน, ไก่, เป็ด, ปลากะพง, ปู, กุ้งมังกร, หอยนางรม, ข้าวโพด, มะพร้าว, ทับทิม, อะโวคาโด, มะเขือเทศ, ซอสมะเขือเทศ, มะระ, มะเฟือง, หัวไชเท้า, พริกไทย, ข้าวสาลี, งา, ถั่วลิสง, ถั่วเหลือง, ถั่วเขียว, ถั่วพิสตาชิโอ, เมล็ดทานตะวัน, เมล็ดฟักทอง, เมล็ดมะม่วงหิมพานต์, ดอกคำฝอย เป็นต้น

        เมนูอาหารของคนกรุ๊ปบี : กะหล่ำปลีทอดน้ำปลา, ข้าวผัดขมิ้นปลาทูน่า, ทอดมันข้าวกล้อง, หน่อไม้ฝรั่งทอดกรอบ, ปลาเก๋าชุบแป้งทอดราดซอสส้ม, ปลาจะละเม็ดทอดขมิ้น, ปลาจะละเม็ดนึ่งขิง, สเต๊กหมูซอสโยเกิร์ต, เปาะเปี๊ยะย่างไส้หมูพริกเผา, ซี่โครงหมูต้มขิงกับสับปะรด, เนื้ออบสับปะรด, สตูแกะสไปซี่, ถั่วแดงกวน, แพนเค้กข้าวกล้องกับคัสตาร์ดชาเชียว, สมูทตี้แตงโมมินต์, สับปะรดนมสดสมูทตี้, ไอศกรีมโยเกิร์ตน้ำผึ้ง เป็นต้น

กรุ๊ป AB

        คนกรุ๊ปเอบี เป็นกรุ๊ปที่ผสมระหว่างกรุ๊ปเอและบี ดังนั้นจึงกินอาหารที่ใกล้เคียงกับสองกรุ๊ปนี้ได้ เพียงแต่จะกินเนื้อสัตว์ได้น้อยกว่าคนกรุ๊ปบี และไม่ต้องกินผักมากเท่ากับคนกรุ๊ปเอ เพราะคนกรุ๊ปเลือดเอบีมีกรดในกระเพาะอาหารต่ำ ที่สำคัญคือควรงดอาหารหมักดองทุกชนิด เพราะไม่ดีต่อสุขภาพ และมักมีปัญหาเรื่องระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เสี่ยงเป็นโรคหัวใจ ม ะ เ ร็ ง และเบาหวาน ส่วนใครที่กำลังควบคุมน้ำหนักก็ให้เน้นรับประทานผักใบเขียวให้มาก ๆ สามารถกินข้าวและขนมปังได้บ้าง เพราะแป้งไม่มีผลทำให้คนกรุ๊ปนี้อ้วนได้ง่ายเหมือนคนกรุ๊ปโอ ในเรื่องของการออกกำลังกาย ให้เน้นการออกกำลังกายแบบเบาๆ ด้วยการเดินช้าๆ เล่นโยคะ เป็นต้น

        อาหาร : อาหารที่ควรรับประทาน คือ เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ปลาซาร์ดีน ส่วนเนื้อสัตว์ที่กินได้เล็กน้อย คือ เนื้อแกะ กระต่าย กวาง และไก่งวง ส่วนเนื้อไก่ ปลาเนื้อขาว อย่างปลาเทราต์ ปลาลิ้นหมา และแซลมอนรมควันควรหลีกเลี่ยง เพราะย่อยยากและเป็นพิษต่อระบบทางเดินอาหาร

        ผัก : กินผักได้แทบทุกชนิด ส่วนธัญพืชแนะนำให้กินข้าวโอ๊ตและข้าวไรย์ เพราะมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ควรหลีกเลี่ยงงา ถั่วแดง เมล็ดฟักทอง และข้าวโพด เพราะชะลอการทำงานของอินซูลิน

        ผลไม้ : กินได้แทบทุกชนิดเช่นกัน เช่น แครนเบอร์รี่ เชอร์รี่ สับปะรด ส้มโอ พลัม องุ่น ฯลฯ เพราะช่วยสร้างความสมดุลของกรดในเนื้อเยื่อ ส่วนผลไม้ที่ควรหลีกเลี่ยงคือ กล้วย ฝรั่ง มะม่วง และมะพร้าว

        เครื่องดื่ม : ที่แนะนำคือ ไวน์แดง แต่ควรดื่มเพียงวันละ 1 แก้ว เพื่อช่วยสร้างเสริมภูมิต้านทานโรคหัวใจและมะเร็ง รวมไปถึงชาคาโมมายล์และชาเขียว เพราะช่วยฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกัน หรือจะเป็นน้ำอุ่นผสมน้ำมะนาวครึ่งซีกไว้สำหรับดื่มตอนเช้าเพื่อช่วยในการย่อยและล้างระบบลำไส้ก็ได้

        อาหารที่คนกรุ๊ปเอบีควรรับประทานบ่อยครั้ง : ปลาซาร์ดีน, กะหล่ำปลี, ดอกกะหล่ำ, บรอกโคลี, พาร์สลีย์, กระเทียม, ขิง, ขมิ้น, หอมหัวใหญ่, หอมเล็ก, แครนเบอร์รี่, เชอร์รี่, เลมอน, สับปะรด, องุ่น, ถั่วเหลือง, เมล็ดแฟล็กซ์, วอลนัต, น้ำมันมะกอก, ชาเขียว, โยเกิร์ต เป็นต้น

        อาหารที่คนกรุ๊ปเอบีควรงดหรือหลีกเลี่ยง : แฮม, เบคอน, ไก่, เป็ด, ปู, ปลาลิ้นหมา, ปลาเทราต์, กุ้ง, กุ้งแห้ง, กุ้งมังกร, หอยนางรม, มะระ, หัวไชเท้า, พริกไทย, งา, เมล็ดฟักทอง, เมล็ดทานตะวัน, ข้าวโพด, มันสำปะหลัง, ถั่วแดง, ถั่วเขียว, กล้วย, มะพร้าว, มะม่วง, ส้ม, อะโวคาโด, ดอกคำฝอย เป็นต้น

        เมนูอาหารของคนกรุ๊ปเอบี : ข้าวกล้องหุงดอกกะหล่ำ, บรอกโคลีผัดหมูน้ำแดง, ปลากะพงผัดขิง, ปลากะพงทอดราดซอสกระเทียม, ปลาย่างพาร์สลีย์ซอสซาวร์ครีม, สลัดแซลมอนสดกับมายองเนสวาซาบิ, สลัดครีมทูน่า, ยำเต้าหู้เย็นซอสเลมอนสไปซี่, ยำเนื้อย่างกับองุ่น, ลาบปลากระป๋อง, เต้าหู้ทอดผัดพริกสด, เต้าหู้ย่างซอสเทอริยากิ, ซุปเต้าหู้เห็ดหอม, ซุปดอกกะหล่ำ, ซุปครีมทูน่า, กะหล่ำปลีตุ๋นปลาเค็ม, สเต๊กหมูกระเทียมอบวอลนัต, วุ้นน้ำเต้าหู้แมงลัก, เชอร์รี่ปั่นกับโยเกิร์ต, กล้วยหอมนมถั่วเหลืองช็อกโกแลตสมูทตี้ เป็นต้น

        หมายเหตุ : อาหารที่แนะนำให้รับประทาน หมายถึง อาหารที่กินได้บ่อยๆ ส่วนอาหารที่ควรงดหรือหลีกเลี่ยง หมายถึง อาหารที่ไม่ควรกินเลย แต่ถ้าจำเป็นต้องกิน ให้กินในปริมาณน้อย และพยายามกินอาหารที่เหมาะสมเข้าไปทดแทนในทันทีด้วย สำหรับอาหารอื่นๆ ที่ไม่ได้ระบุไว้สามารถกินได้นานๆ ครั้ง

        อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์เมดไทย (Medthai)

ข้อมูลและภาพจาก Medthai

บทความที่คุณอาจสนใจ