เปิดประวัติ "เจษ เจษฎ์พิพัฒ" หนุ่มหล่อทายาทตลาดรังสิต ดีกรีไม่ธรรมดา เจ้าของเกรดปริญญาโท 3.9

LIEKR:

เจษฎ์พิพัฒ ชีวิตสุดพลิก รวยสุดๆ ครอบครัวล้มละลาย 400 ล้าน รถหรูหายหมดบ้าน

    เป็นหนุ่มที่เรียกว่าครบสูตร หน้าตาดี ฉลาด ความสามารถพร้อม เลยทีเดียว สำหรับ เจษ-เจษฎ์พิพัฒ ติละพรพัฒน์ หนุ่มนักแสดงหน้าหล่อที่ ไม่ได้แค่โดดเด่นแค่การแสดง แต่เรื่องการศึกษาของเขานั้นเรียกว่าไม่ธรรมดา เพราะเขาคนนี้จบปริญญาโทด้วยเกรด 3.91 เลยทีเดียว

    ในครั้งนี้ทีมงานก็จะพาเพื่อนๆ ไปทำความรู้จักกับ ประวัติ เจษ เจษฎ์พิพัฒ หนุ่มหล่อหน้าใสหุ่นเฟิร์ม ที่เก่งเรื่องตัวเลข จากคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คนนี้ให้เพื่อนๆ รู้จักเขาให้มากขึ้น

ประวัติ เจษ เจษฎ์พิพัฒ

    เจษ มีชื่อจริงว่า เจษฎ์พิพัฒ ติละพรพัฒน์

    เกิดเมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2535

    ภูมิลำเนาเป็นคนกรุงเทพมหานคร

    จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจาก โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย

    จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจาก คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

    จบการศึกษาระดับปริญญาโทจาก คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สาขาวิชาการเงินประยุกต์ (Applied Finance)

    IG : jesjpp

หนุ่มหล่อเก่งคำนวณ

.

.

    เจษ เรียกว่าเป็นคนที่ค่อนข้างชอบวิชาคณิตศาสตร์ และวิชาภาษาอังกฤษ คือชอบมาตั้งแต่สมัยมัธยมแล้ว ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเรียนไปในทิศทางที่ตัวของเขาคิดว่าสามารถนำความชอบไปต่อยอดได้ และเขามองว่าเงินมันคือสิ่งสำคัญที่สุด เพราะไม่ว่าเราจะทำอะไรก็แล้วแต่ ถ้าหากเราใช้เงินไม่เป็น หรือเราไม่รู้ว่าควรที่จะลงทุนอย่างไร มันก็คงจะไม่เวิร์ก ดังนั้นในเมื่อเขาทำงานในวงการนี้ เขาก็อยากที่จะจัดการกับเงินที่หามาได้ให้มันเหมาะสมที่สุด และนอกจากนั้นเขายังเคยได้รับรางวัลเป็นสุดยอดหนุ่มป็อปดาวองก์ (Pop Da'vance) ประจำปี 2009 อีกต่างหาก เรียกว่าทั้งหล่อ ทั้งฉลาด สมบูรณ์แบบเลยจริงๆ

.

.

.

.

.

เห็นว่าเป็นทายาทเจ้าของตลาดรังสิต ชีวิตเป็นยังไง?

    เจษ : "ผมขออธิบายก่อน เราไม่ได้เป็นคุณหนูเลยครับ หมายถึงว่าทั้งการทำตัวเราด้วย แล้วก็ที่บ้านด้วย จริงๆ ครอบครัวผมเป็นแค่ส่วนหนึ่งของตลาดรังสิตครับ"

เรามีส่วนไปช่วยเหลือธุรกิจที่บ้านบ้างไหม?

    เจษ : ไม่มีเลยครับ เพราะว่าพ่อให้เลือกว่าจะทำอะไรในชีวิต ตอนเรียนจบผมเลยเลือกที่จะทำงานตรงนี้ พอมีโอกาสได้ลองทำ ก็เลยชอบ แล้วผมเป็นเด็กที่ไม่ชอบยอมแพ้อะไร คือทำอะไรต้องทำให้สุดทำให้ดีที่สุดอะไรประมาณนี้ พอรู้สึกว่าทำไม่ได้ ก็จะต้องทำให้ได้" 

.

เคยถูกเปลี่ยนตัวจากละคร เกิดอะไรขึ้นตอนนั้น?

    เจษ : "ประมาณปี 51 ครับ ตอนอยู่ค่ายเอ็กแซ็กท์ เราคาดหวังว่า เราอยู่ในค่ายละครที่ค่อนข้างใหญ่แล้ว เราอยากจะมีละครเล่นอย่างจะขึ้นไปเป็นพระเอกให้ได้ในสักวันนึงอะไรแบบนี้ ได้มีโอกาสแคสละครได้เรื่องนึง แต่ก็มีปัญหาอยู่ คือเราอาจจะเล่นไม่ถึงแล้วก็ ฝีมือการแสดงเราน้อย เพราะเราไม่เคยเล่นละครมาก่อนเลย ก็ได้มีการ workshop กัน แล้วก็มันมีช่วงหนึ่งที่ผมต้องไปอเมริกา ไปหาพี่ผม ซึ่งผมจะไปทุกปีอยู่แล้ว พอกลับมาก็ถูกถอดจากละครเรื่องนี้เลย เขาให้เหตุผลว่าเราเล่นไม่ได้"

เจอเหตุการณ์แบบนี้ความรู้สึกเป็นยังไงบ้าง?

    เจษ : "ตอนนั้นเป็น Attitude ที่ผมรู้สึกแย่มากครับ ผมจะโทษคนอื่นหมดเลย ผมโทษที่ค่าย คุณครูที่สอนแอคติ้ง ตอนหลังก็คิดได้ คือเขาหวังดีกับเราทุกคน เขาจะมานั่งจ้ำจี้จ้ำไชสอนแอคติ้งเราทำไม เขาก็ไม่ได้เงิน เราไปเรียนฟรี เราจะเป็นฝ่ายได้ชื่อเสียงได้เงินจากเขามากกว่า การนั่งโทษคนอื่นมันไม่ทำให้ตัวเราลุกขึ้นกลับมา เลยสู้อีกครั้งหนึ่ง" 

เป็นคนมุ่งมั่นตั้งแต่เด็กเลยไหม?

    เจษ : "ใช่ครับ ถามว่ามุ่งมั่นไหมผมไม่แน่ใจนะ แต่เรื่องยอมแพ้ผมไม่ยอมแน่ๆ ผมจะไม่ยอมอะไรเลยไม่ว่าผมจะทำอะไร ต้องการอะไร ผมต้องทำให้ได้ ต้องไปให้สุด"

ทางบ้านว่ายังไงบ้างที่เข้ามาในวงการบันเทิง?

    เจษ : "คุณพ่อคุณแม่บอกตั้งแต่เด็กแล้วครับว่าอยากทำอะไรให้ทำเลย แต่ว่าต้องทำให้สุด เหมือนกันครับมันเลยทำให้ผมต้องทำให้สุดเหมือนกัน"

เห็นว่าครอบครัวเคยเจอเหตุการณ์วิกฤต เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม?

    เจษ : "วิกฤตปี 40 ครับ เมื่อก่อนพ่อผมก็จบเมืองนอกมาเหมือนกัน แล้วพ่อผมกลับมาทำธุรกิจส่วนตัว เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ทำพวกหมู่บ้านจัดสรรเพราะพ่อผมเป็นวิศวกร ตอนนั้นมีเงินเยอะมากๆ เลยครับ แล้ววันหนึ่งคุณพ่อไปกู้เงินเพื่อทำโครงการนึง แล้วโครงการยังไม่เสร็จ แล้วมันล่ม เราก็เลยไม่มีเงินที่จะทำขั้นตอนต่างๆ ของโครงการให้มันแล้วเสร็จไปต่อได้ เลยติดหนี้แล้วก็ล้มละลาย ซึ่งปีนั้นก็ล้มกันเป็นโดมิโนเลย"

แล้วชีวิตเราเปลี่ยนแปลงยังไงบ้าง?

    เจษ : "ผมนับถือพ่อผมมากเลย ชีวิตผมไม่เปลี่ยนเลยครับ คือที่บ้านเมื่อก่อนรวยมาก ที่บ้านจะมีรถวอลโว่หลายคันเลย แต่ตอนนี้ไม่ได้รวยขนาดนั้นครับ ตอนนั้นเราไม่รู้ พ่อแม่ปิดไว้ เด็กๆ ก็ไม่รู้สึก เราแค่แบบเห็นรถมันหายไปแค่นั้น ไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับที่บ้าน แต่ที่รู้สึกได้คืออารมณ์ของพ่อแม่เหมือนจะหงุดหงิดง่ายขึ้นอะไรแบบนี้" 

แล้วเรามารู้ความจริง ว่าพ่อแม่ผ่านวิกฤตตอนนั้นมา ตอนไหน?

    เจษ : "ตอนนี้พ่อยังไม่บอกผมนะว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ที่รู้ความจริงคือผมไปถามเขา เพราะว่าผมเรียน Finance ต้องเรียนเกี่ยวกับวิกฤตปี 40 และเขาบอกว่าเขาเจออะไรมา ก็เล่าอย่างละเอียดเลยครับว่าเจอมายังไง แต่ว่าพ่อจะไม่ได้เล่ามุมดราม่านะ แม่จะเป็นคนเล่าให้ฟังตอนหลังมากกว่า" 

กว่าครอบครัวจะสามารถลุกขึ้นมายืนได้อีกครั้ง ใช้เวลานานไหม?

    เจษ : "สำหรับตัวผมมันเหมือนเดิมมาตลอดครับ แต่ว่าถ้าสำหรับเขา ก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นจากวัตถุจากสิ่งของต่างๆ นานา พวกรถ ของใช้ในบ้านอะไรแบบนี้ ก็ค่อยๆ เปลี่ยน ค่อยๆดีขึ้น ที่เรารับรู้ได้ น่าจะประมาณตอนผม ม.ปลาย เพราะช่วงที่เกิดวิกฤตผมเพิ่งอยู่ตอนประถมเอง 

พ่อแม่มีความสำคัญกับความสำเร็จ ของเราขนาดไหน?

    เจษ : "สำคัญที่สุดเลยครับ ทุกวันนี้ทำเพื่อครอบครัวอยู่ ปัจจุบันนี้ผมจะคิดถึงตัวเองน้อยมาก ผมรู้สึกว่าผมคิดถึงแค่ตัวเองมันไปได้นิดเดียว ผมจะทำไปทำไม ผมไม่ได้ลำบากอะไร แต่ว่าถ้าเพื่อเขา ให้เขารู้สึกภูมิใจที่เห็นเราประสบความสำเร็จ อันนั้นตัวเราจะหนัก แต่เราจะผลักตัวเองให้ไปได้ไกลกว่าเดิม" 

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

ที่มา : Sanook, ดาราวันนี้ - StarBrity

บทความที่คุณอาจสนใจ