เปิดใจ "สาวไทย" อายุแค่ 25 จบ ม.ปลาย ไป "ขับรถส่งของ" ทั่วอเมริกา ทำเงินเดือนเกือบล้าน
LIEKR:
หญิงไทยสุดสตรอง! สิงห์รถบรรทุกแห่งอเมริกา ปิ๋ม - สุภาวดี นามชารี สาวสวยวัยเบญจเพส ฝันอยากเป็นตำรวจหญิงสายบู๊ ชีวิตพลิกผันบินสู่เมืองลุงแซม เบนเข็มขับรถบรรทุกคันโตส่งของทั่วอเมริกา สู้ไม่ถอย เก็บหอมรอมริบออกรถบรรทุก สร้างรายได้เดือนนึงเกือบล้านบาท
ถาม-ตอบทุกซอกหลืบชีวิตหญิงสุดแกร่ง ทำได้ไงใช้ชีวิต กินนอนบนรถบรรทุกนานนับเดือน ตีแผ่ความจริง คนขับรถบรรทุกสุดเครียด ห่างบ้าน ไกลคนรัก
Q: เริ่มหัดขับรถครั้งแรกตอนไหน
A: คุณพ่อ และญาติๆ จะเป็นคนขับรถบรรทุกกันหมด รวมๆ จะมีรถอยู่ประมาณ 140 กว่าคัน ทำครบวงจร ประมูลทำถนน ทำหลายอย่าง พ่อก็มักจะพานั่งไปบนรถบรรทุกตั้งแต่เด็กเลย เพิ่งจะมาหยุดช่วงเข้า ม.ต้น ไม่มีความคิดเบื่อเลย มีแต่แบบอยากไป เวลาไปขนหิน ไปโรงโม่ ก็ตื่นเต้น หินมันกองใหญ่เบ้อเริ่ม เราก็ไปเก็บหินมาใส่อ่างปลาที่บ้าน มีฟีลแบบอยากไปอีก อาทิตย์หน้ามารับอีกนะ
จริงๆ เริ่มขับรถตั้งแต่ ป.6 เลย หนูขอพ่อขับรถกระบะเกียร์กระปุก คือตอนนั้นขายังไม่ถึงเลยนะ พ่อก็เอาหมอนมาซ้อนให้นั่ง 2-3 อัน แล้วก็หัดขับ แต่ว่าก็เป็นเรื่องไม่ดีนะ แต่นี่หมายถึงหนูอยากขับ คือพ่อแม่ไม่มีลูกผู้ชาย แล้วหนูก็ชอบทำอะไรแบบเด็กผู้ชาย พ่อเลยสอนให้
หนูจะเป็นผู้หญิงที่ห้าวๆ นิสัยเหมือนผู้ชาย เล่นกับผู้ชายมาตั้งแต่เด็กๆ ไม่ค่อยมีเพื่อนผู้หญิง เพราะคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง
ปิ๋มกับคุณพ่อ
Q: ทำไมถึงฝันอยากเป็นตำรวจสายบู๊
A: พอจบ ม.6 หนูอยากเป็นตำรวจ ก็เลยไปสอบตำรวจ แบบสอบนายร้อย ก็ติดรอบข้อสอบ แต่พอเราไปรอบร่างกาย รอบวิ่ง ก็ไม่ผ่าน ตอนนั้นก็เลยลงเรียนครูไปก่อนที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คือไม่ได้อยากเป็นครูแต่เพื่อนบอกให้ลงไว้ก่อน เพราะตำรวจปีหน้าเขาจะมีสอบอีก
พอขึ้นปี 1 เทอมแรก ตำรวจนายร้อยก็เปิดสอบอีก หนูก็ไปสอบ แต่ครั้งนี้สอบติดเหมือนกัน แต่ว่าไม่ได้ไปสัมภาษณ์ ไม่ได้ไปรายงานตัว เพราะคิดว่าคงสอบปฏิบัติไม่ผ่าน จึงมีความคิดที่ว่าอยากจะมาอเมริกา ก็เลยมาโครงการที่เรียกว่า Work and Travel ของอเมริกา ที่เขาให้นักเรียนมหาวิทยาลัยไปโครงการ นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ว่า ทำไมถึงมาอเมริกา
เป็นตำรวจหนูก็คิดไว้นะ ว่าสายที่หนูอยากไป หนูอยากไปปราบปราม ไม่ได้อยากเป็นตำรวจสายผู้หญิงที่นั่งทำเอกสาร หนูไม่อยากทำแบบนั้น คือหนูชอบกฎหมาย เป็นอะไรก็ได้ที่ขอให้ชีวิตประจำวันได้ใช้ แต่ถามว่าจะไปเป็นทนายไหม คงไม่ เพราะไม่ค่อยชอบไปพูดกับคน หรือไปไกล่เกลี่ย ดังนั้นจึงแขอให้อาชีพนั้น มีส่วนหนึ่งของกฎหมาย ก็เลยเป็นตำรวจดีกว่าเวิร์กสุด
หนูเป็นคนค่อนข้างจะตรงๆ เวลาเห็นอะไรที่ขัดหูขัดตา หนูก็จะคิดต่างพวก เป็นแกะดำในกลุ่มนั้น บุคลิกภายนอกถ้าคนอื่นเห็น จะเหมือนผู้หญิงหวานๆ แต่ความจริงไม่ใช่เลย
Q: ประสบการณ์ work and travel โดนเท ?
A : โฮสต์แฟมิลี่ที่หนูไปอยู่ด้วย เป็นครูโรงเรียนที่ และด้วยความที่เขาเป็นครู ก็มีสไตล์เหมือนจิตวิทยาในการคุยกับหนู บางทีนั่งกินข้าวก็จะถามโน้นถามนี่ หนูก็ไม่ตอบ ไม่พูด เพราะอาย ทั้งที่เรียนแบบ EP สองภาษามา ถามว่าเราเข้าใจทุกอย่างที่เขาพูดมั้ย เราเข้าใจ แต่เราแค่ไม่พูดกับเขา เราอาย
ตอนนั้นทำงานที่โรงแรมที่โครงการหาให้ โครงการที่ปิ๋มไปจะไม่ขอเอ่ยชื่อแล้วกัน work and travel มีหลายเจ้ามาก แต่เจ้าที่หนูไปมันแย่ตรงที่ว่า เราโดนเท เพราะไปถึงเราไม่มีที่อยู่เลย เราติดต่อเอเจ้นไม่ได้ ก็ต้องหาเพื่อนฝรั่งพาไปวัดไทย เจอคุณป้าท่านหนึ่งใจดี ให้ไปอยู่ด้วย ตอนนั้นมีคนโดนเท 6 คน แต่ก็ไม่รู้จักกันสักคนมาจากต่างถิ่น ก็ไปรวมตัวกันอยู่ที่บ้านคุณป้าท่านนั้น
แล้วทั้ง 6 คนนี้ก็ทำงานอยู่ที่เดียวกัน เป็นแม่บ้านทำความสะอาดโรงแรมห้าดาว แต่ของหนูกับเพื่อน ได้ทำงานที่ฟร้อนท์ คนที่ทักษะภาษาอังกฤษจะดีหน่อย เขาก็จะให้มาทำงานข้างหน้า แต่ด้วยความที่หนูไม่ชอบคุยกับคน หนูก็ขอกลับไปทำกับเพื่อนที่ทำความสะอาด เพราะไม่ต้องไปคุยกับใคร แต่ทำงานที่ฟร้อนท์ข้างหน้าต้องเจอลูกค้า ต้องทักทาย หนูก็เลยขอเขาเปลี่ยนงาน ก็เลยได้ไปทำงานเป็นแม่บ้านแทน
เหนื่อยมาก ทั้งการเดินทาง เมื่อก่อนยังไม่มีรถด้วย เราก็ต้องนั่งรถเมล์ ตั้งแต่ตีสี่ ตีห้า ก็นั่งรถเมล์ 2-3 ชั่วโมง กว่าจะไปถึงที่ทำงาน ก็ค่อนข้างที่จะลำบาก
Q :รายได้ดีไหม
A: เขาจ่ายชั่วโมงละประมาณ 8.5 เหรียญดอลลาร์ ก็ถือว่าไม่เยอะ เป็นมินิมั่มเวทของที่เมืองนี้ ตอนนั้นแม่ให้ตังค์มาแค่ 500 เหรียญ ก็ประมาณ 15,000 บาทไทย แต่หนูก็ไม่ได้ใช้เงินตรงนั้นเลย เพราะพอมาถึงประมาณ 3-4 วันหลังจากเราหาบ้าน เรามีงานอยู่แล้วที่รองรับไว้ เราก็มาทำงาน แล้วเราทำงานโรงแรมด้วย มีข้าวกินตลอด
โรงแรมที่เราทำมันจะเป็นโรงแรมห้าดาว แล้วจะมีแต่คนรวยอยู่ เขาก็จะมีทิป มีอะไรไว้ให้ ฝรั่งเขาจะชอบเอาทิปไว้ให้ในหมอน เราก็ได้ในแต่ละวัน ก็ค่อนข้างจะโอเคกับตรงนั้น มีกับข้าวที่โรงแรม บางทีก็มีขนมปัง ที่เขาให้เรากินได้ ก็เลยไม่ค่อยใช้ตังค์อะไรมาก ถือว่าได้รายได้น้อยมั้ย ถ้าเทียบกับตอนนี้ก็คงไม่ทำ เพราะว่าน้อยมากแต่ตอนนั้นเราเป็นนักเรียนอยู่มาจากไทย ไม่มีรายจ่าย ไม่มีค่ารถ ค่าบ้าน เราก็อยู่ได้
จากแม่บ้านทำความสะอาด…สู่คนขับรถบรรทุก
Q : มาขับรถบรรทุกได้ไง
A: หลังจากที่หนูอยู่อเมริกาได้สักพักก็มีแฟน คบกันมาตั้งแต่เรามาเลย ประมาณปีสองปีถึงตัดสินใจแต่งงาน หลังจากแต่งงานช่วงที่ทำกรีนการ์ดที่นี่จะใช้ระยะเวลาค่อนข้างเกือบปี ระหว่างที่รอเขาก็จะให้ Work Permit มา เราสามารถทำงานได้ถูกกฎหมาย
บังเอิญได้ไปรู้จักพี่ผู้หญิงคนไทยที่ร้านอาหารเขามีแฟนเป็นฝรั่ง แฟนเขาเป็นคนขับรถบรรทุก แล้วแฟนเขาก็มากินข้าวที่ร้าน เลยมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนคุยกัน ด้วยความที่เราก็อยากรู้อยากเห็นว่า อาชีพรถบรรทุกที่อเมริกาเป็นยังไง เขาก็บอกว่าที่อเมริกาผู้หญิงเขาก็ขับเยอะนะ ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ลองไปดูสิ พอได้กรีนการ์ด หนูก็ออกจากที่ทำงานร้านอาหาร แล้วก็ไปเรียนขับรถบรรทุกเลย เพราะในใจคิดไว้นานแล้ว ว่าจะไปทำอาชีพนี้ เราก็แค่รอช่วงเวลาที่ทุกอย่างมันเรียบร้อย
Q : ขั้นตอนยุ่งยากไหม
A: ค่อนข้างที่จะเยอะพอสมควร เพราะถือว่าเป็นการสอบที่มีหลายบทมากที่สุดในบรรดารถธรรมดาแล้ว ถ้าที่นี่เขาจะเรียกว่า Professional Driver คือคนที่ขับมีความเป็นโปรฯ ฉะนั้นกว่าคุณจะได้ใบขับขี่มา คุณต้องผ่านการสอบหลายอย่างกว่าคนธรรมดา ค่าสอบก็จะแพงกว่า หนังสือก็ต้องอ่านเยอะกว่า ภาคปฏิบัติก็จะเยอะกว่า
การสอบใบขับขี่รถบรรทุกจะมีหลายขั้นตอน เขาจะมีหลาย Part ถ้าหนูจำไม่ผิด พาร์ทแรกก็จะสอบถอยหลัง วัด Skill การถอยหลังของเรา เพราะขนาดเราถอยรถธรรมดา บางคนยังถอยไม่ตรงเลย แล้วนี่รถใหญ่ แถมมีพ่วงด้วย มันจะยากกว่า ฉะนั้นสเต็ปแรกเขาจะวัดว่าเราถอยตรงมากแค่ไหน พาร์ทสองคือจอดเทียบฟุตปาธ แบบเข้าซองของรถใหญ่ พาร์ทสาม จะมีคนนั่งไปด้วยกับเรา ดูเราขับ ระหว่างทางก็จะคอยบอกเส้นทาง ว่าไปตรงหมู่บ้านนี้นะ
เขาก็จะพาเราขับไป จะคอยบอกให้เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา หรือขึ้นไฮเวย์ ถนนใหญ่ เขาจะดูว่าความเร็วเรา วิธีการแซงของเรา วิธีการจอด บางทีขับๆไปเขาบอกว่า จอดตรงข้างทางให้ฉันหน่อยได้มั้ย เขาก็จะดูวิธีการจอดของเรา เรารู้มากแค่ไหน แล้วถ้าจอดเราต้องทำแบบไหน ดึงเบรกอะไรมั้ย หลายอย่าง
ส่วนใหญ่คนที่จะสอบตก มักจะตกขั้นตอนสุดท้าย อย่างก่อนที่จะสอบเสร็จ เขาจะพาเราไปวัดดวงตรงถนนที่ค่อนข้างแคบหน่อย คือถ้าเราเลี้ยว แล้วเหยียบฟุตปาธ หรือเหยียบทางเดิน จะปรับตกทันที เท่ากับว่าที่ผ่านมา ตั้งแต่สอบข้อเขียน สอบปฏิบัติ ต้องสอบใหม่หมดเลย ฉะนั้นต้องระวังในจุดๆนี้
หนูสอบตกมาตั้งสองรอบนะ กว่าจะผ่านมาได้ เขาให้โอกาสได้แค่ 3 ครั้ง รอบสุดท้ายถึงผ่านมาได้
Q : มีความหวาดหวั่นในใจบ้างมั้ยไปขับรถคันโตขนาดนั้น
A: ขับรถบรรทุกมา 2 ปีแล้ว เริ่มขับตอนปี 2017 คือโรงเรียนที่หนูไปเรียนขับรถบรรทุกเขาจะหางานให้เรา หลังจากก่อนที่จะจบ 1 สัปดาห์ ก็จะมีหลายๆบริษัทเข้ามา โฆษณาว่าตัวเราเองมีดีอะไรบ้าง หนูก็เลือกบริษัทเวอร์เนอร์ เพราะคิดว่ารายได้ดี ก็เลยเลือกอันนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไปทำได้นะ เขาต้องเช็คแบ็กกราวน์ เช็คเครดิต เราก่อนว่าเรามีคดี มีใบสั่งมาก่อนหรือเปล่า ถ้าหนูเคยโดนจับข้อหา ขับรถเร็วเกิน หรือฝ่าไฟแดง ก็จะไม่ได้ทำ พอเช็กหนูก็คลีน ไม่เคยเสียเครดิต ก็เลยได้ทำบริษัทนี้
ความรู้สึกตอนนั้นก็ไม่กลัวนะ เราไม่เคยกลัวอะไรเลย หนูไม่เคยบอกใครว่า ไปเรียนขับรถบรรทุก คนที่รู้มีแต่แฟนคนเดียว อย่างครอบครัว เพื่อนสนิท พ่อแม่ก็ไม่รู้ว่าปิ๋มทำอะไร ทุกคนก็เข้าใจว่าหนูยังเสิร์ฟอยู่ เพื่อนที่เสิร์ฟด้วยกันเขาก็เข้าใจว่าหนูไปเรียนพยาบาลหรือเปล่า ทุกคนก็ถามว่าหายไปไหน
ไม่อยากจะบอก คือรู้ว่าถ้าบอกไปแล้วมันจะมีคำพูดที่แบบว่า เฮ้ย มันน่ากลัวนะ หนูก็ไม่อยากให้กระทบจิตใจตัวเอง ไม่ใช่ว่าไม่อยากบอกนะ แต่เรารู้ว่าคนเขาคิดยังไง เขาจะเป็นห่วง อย่างครอบครัวก็ไม่บอก จนกว่าเราจะเทรนเสร็จไปทำกับบริษัทได้ 2 เดือนถึงบอกว่า เรามาทำอาชีพขับรถบรรทุก
บริษัทที่ทำก็จะส่งของให้วอลมาร์ท ด้วยความเป็นบริษัทใหญ่ ก็มีคอนแทคเยอะ ก็ขนแทบทุกอย่าง
Q : ย้อนวินาที ความรู้สึกขับส่งของครั้งแรก
A: ก็ไม่กลัวอะไรเลย ก่อนขับเราต้องมีเทรนเนอร์นั่งไปด้วย ตอนแรกเราก็ขอผู้หญิงไป แต่เขาบอกจะได้ประมาณ 2 สัปดาห์ เราก็ร้อนรุ่ม อยากจะขับรถเร็วๆ เขาก็บอกว่า ถ้าเปลี่ยนเป็นเทรนเนอร์ผู้ชาย คุณจะได้วันนี้เลย ก็เลยโอเค ผู้ชายก็ผู้ชาย
ทำให้เราความกังวลอยู่ว่าเรา ไปอยู่กับผู้ชายในรถสองคน มันจะเป็นยังไง จะอาบน้ำ กินข้าว อะไรยังไง แต่พอไปถึงเขาทำให้เรารู้สึกว่า มันง่ายทุกอย่าง เพราะว่าที่อเมริกา แค่คำพูดจะเสียดสีกันก็ไม่ได้ อย่างเทรนเนอร์เวลาเขาจะพูดอะไรกับเราเขาก็จะต้องคิดก่อน ถ้าเขามาจีบเรา มาล่วงเกินเรา หนูสามารถรายงานบริษัท โดนไล่ออกทันที ฉะนั้นจะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเลย ปิ๋มก็สบายใจ อยู่กับเขามาประมาณ 3 สัปดาห์
เทรนประมาณ 10 ชั่วโมงต่อวัน นานมาก แล้วที่อเมริกาบางทีต้องขับข้ามรัฐ อยู่บนภูเขา โทรศัพท์ อินเตอร์เน็ตก็ไม่มี แล้วเทรนเนอร์เขาจะมีกฎว่า ห้ามนักเรียนเปิดเพลง ห้ามใช้โทรศัพท์ เป็นช่วงที่น่าเบื่อที่สุด คือเราไม่ได้ทำอะไรเลยกับโทรศัพท์ ฟังเพลงก็ไม่ได้ ต้องนั่งจดจ่ออยู่ 10 ชั่วโมงในการขับจากเช้าถึงค่ำ
ใน 10 ชั่วโมง หนูจะพักเพียงประมาณ 1 ครั้ง 30 นาที เพราะอยากจะเทรนให้จบเร็วๆ ก็อย่างที่บอกว่าอยากจะทำให้เทรนเนอร์เขาเห็นว่าหนูโอเค ทำได้ เลยจอดพักแค่ครั้งเดียว 30 นาที หรือถ้าปวดปัสสาวะก็จะจอดสองครั้งต่อวัน
แต่เรื่องที่หนูกลัวคือ เทรนเนอร์คนนี้เขามีปัญหาครอบครัวเยอะ ภรรยาของเขายังเด็กอยู่ สวย สาว จะทะเลาะกับแฟนตลอด เวลาเรานอนเขาก็จะคุยโทรศัพท์เราก็ไม่ได้นอน
สุดเครียด! ห่างบ้านไกลคนรัก
Q : จัดการกับความเครียดอย่างไร
A : คือคนที่เป็นคนขับรถบรรทุกที่นี่ ถือว่าเป็นอาชีพที่เครียดที่สุดในบรรดาหลายๆอาชีพก็ว่าได้ ก็เข้าใจเขา เขาห่างบ้าน ถ้ามีปัญหาครอบครัวมันกระทบจิตใจคนขับรถจะไม่มีสมาธิ เทรนเนอร์ของเพื่อนหนูบางคนถึงขนาดที่ว่า ฉันจะขับรถตกสะพานตรงนี้แหล่ะ คือถึงขั้นนี้เลย ความเครียดมันเยอะมาก ปิ๋มก็เข้าใจจุดๆนั้น นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมหนูถึงพาหมามาด้วย เพราะจะได้ช่วยผ่อนคลายความเครียดของเราไปบ้าง
ออกัสน้องหมาคู่ใจ
มีหมามันก็มีประโยชน์หลายอย่าง ยิ่งเราเป็นคนขับรถบรรทุกด้วย คือเขาจะไม่ให้สตาร์ทเครื่องไว้ เวลาเราไปรับของ บางบริษัทเขาจะเขียนติดป้ายไว้เลยว่า ห้ามสตาร์ทรถเกิน 5 นาที แต่ถ้าเรามีหมามันก็จะเป็นกรณียกเว้นของเราว่าจะสตาร์ทตอนไหนก็ได้ คนขับรถบรรทุก 1 คน สามารถนำสัตว์เลี้ยงไปด้วยได้ 1 ตัวเท่านั้น
อย่างที่นี่รถติดจะมีช่วงเช้ากับเย็น ช่วงคนไปทำงานกับเลิกงาน แล้วถ้าหนูรับของเสร็จระหว่างเขากำลังเลิกงานตอนเย็นๆ แล้วขับผ่านในเมืองจะเป็นอะไรที่หงุดหงิดบ้าง คำหยาบก็หลุดออกจากปาก ยิ่งเราต้องเร่งทำเวลา
Q: เป็นผู้หญิงลำบากมั้ยใช้ชีวิตกินนอนอยู่บนรถบรรทุก
A: ค่อนข้างลำบากเพราะถ้าเป็นผู้ชายเขาฉี่ในขวดได้ แต่ถ้าเป็นผู้หญิงก็ต้องไปเข้าห้องน้ำอย่างเดียว เพราะการขับรถทรัคในอเมริกา เราต้องทำเวลาในการไปส่งโหลด ในการจอดแค่ไปเข้าห้องน้ำมันก็กินเวลา 10-15 นาที กว่าเราจะไปจอด กว่าจะถอยเข้าจอด มันก็เสียเวลาไปแล้ว ทำให้สุขภาพหนูจะไม่ค่อยดี เพราะว่า จะไม่ค่อยดื่มน้ำเลย เพราะกลัวต้องเข้าห้องน้ำ ก็ลำบากจุดนั้น ยิ่งวันมามากของแต่ละเดือนของผู้หญิง แล้วต้องไปขับรถอีกคือมันทรมานตรงนั้น จะกินยา จะนอนก็ไม่ได้ เพราะเราต้องทำงาน
เคยอั้นปัสสาวะ 5 ชั่วโมง ที่ไม่ได้จอดเลย เพราะเราต้องขับไปกับพี่ผู้ชายเพื่อผลัดกันทำเพราะขับกันคนละ 8 ชั่วโมง ช่วงที่เราขับ พี่เขาก็ไปพักผ่อน จะไปปัสสาวะในรถใส่ถุงมันก็แปลกๆ(หัวเราะ)
Q:ในรถมีอุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวกอะไรบ้าง
A: ก็มีทุกอย่างที่บ้านมี เสื้อผ้า กระเป๋าอาบน้ำ ที่นี่ไม่ได้ลำบากเรื่องการอาบน้ำ เพราะปั๊มน้ำมัน อย่างที่เป็นของรถบรรทุก เขาจะมีห้องน้ำให้กับคนที่ขับรถบรรทุกเยอะมาก บางปั๊มก็ 10 ห้อง 20 ห้อง แต่เราไม่ได้จ่ายเงิน เพราะเวลา เราเติมน้ำมันก็จะมีพอยท์ มีแต้ม ไปแลกอาบน้ำ ก็จะเป็นพอยท์อันลิมิเต็ด แบบเติมทุกวันใช่มั้ย จะอาบตอนไหนก็ได้ ก็ไม่ค่อยลำบาก แต่อยู่ที่ว่า เราจะมีเวลาที่จะอาบมั้ย อาบเยอะสุดก็วันเว้นวันก็เยอะสุดแล้ว
Q : รายได้ดี เปลี่ยนรถทุกปี?
A : ขอย้อนไปปตอนที่เรายังไม่มีรถบรรทุกของตัวเอง ตอนที่เป็นพนักงานอยู่ ตอนนั้นได้ประมาณสัปดาห์ละ 1,500 เหรียญต่อสัปดาห์
พอซื้อรถมาเป็นของตัวเอง ใน 1 สัปดาห์ แบบยังไม่หักค่าน้ำมันที่ได้เต็มๆคือสัปดาห์ละ 6-7 พันเหรียญ คิดเป็นเงินไทยก็สองแสนต่อสัปดาห์ นี่คือรายได้ของเรานะ แต่ถ้าหักค่าน้ำมัน หักอะไรแล้ว ก็จะตกอยู่ที่ประมาณแสนกว่าถึงแสนสองต่อสัปดาห์ แต่เราต้องมาหารครึ่ง เพราะเราขับ 2 คน ฉะนั้นก็จะเหลือสัปดาห์ละห้าหมื่นถึงหกหมื่นต่อคน เดือนหนึ่งก็ประมาณสองแสน คือก็พอๆกับคอมปานีไดรฟ์เวอร์ แต่เยอะกว่าหน่อย คือที่นี่อย่างที่รู้ว่าภาษีเยอะมาก อย่างปิ๋มจ่ายค่าภาษีประมาณ 15,000 บาท ต่อสัปดาห์ที่เสียภาษีไป
รถบรรทุกที่หนูผ่อนราคายังไม่รวมภาษีประมาณ 170,000 เหรียญ เป็นเงินไทยประมาณ 5-6 ล้าน ผ่อนเดือนละ 2,700 เหรียญ ถ้าคนอเมริกันเขาสามารถผ่อนบ้านได้ 2 หลังเลยนะ ถือว่าเยอะมาก หนูเลือกผ่อน 3 ปี เพราะรถหลังจาก 5 ปี มันก็เริ่มเสียแล้ว
ตอนเป็นเด็กเสิร์ฟหนูทำงานเก็บเงินเดือนละ 1,500 ดอลลาร์ แต่พอมาขับรถบรรทุกเก็บเข้าธนาคารเดือนละ 4 พันดอลลาร์ แบบไม่ใช้เลย คือความต่างเยอะมาก หลังหักค่าใช้จ่ายเรามีเงินเก็บเยอะมากกว่าทำงานอย่างอื่น
และที่เห็นว่าขับเบนซ์เพราะรถที่อเมริกาไม่ได้แพงเหมือนบ้านเรา ถ้าคนที่รู้จักหนูจะรู้ว่าเปลี่ยนรถบ่อยมาก เปลี่ยนแทบทุกปี บางปีก็เปลี่ยน 2 คัน มันไม่ได้แพงอะไรขนาดนั้น อย่างเบนซ์คันที่ผ่อนอยู่ตอนนี้ถูกกว่าโตโยต้าที่บ้านเราอีกนะ เดือนละแค่ 9,000 บาทเอง ถ้าคิดเป็นเงินไทย แต่บ้านยังไม่คิดอยากจะซื้อ เพราะในใจหนูยังอยากจะกลับไปอยู่ไทย ยังไม่มีความรู้สึกอยากจะอยู่ที่นี่ ปีใหม่ที่จะถึงนี้หนูมีแพลนจะไปสร้างบ้านที่ไทย ก็เลยยังไม่ซื้ออะไรที่นี่
Q : เจออุบัติเหตุบนท้องถนนบ่อยมั้ย
A: ส่วนใหญ่พบเจออุบัติเหตุทุกวัน ที่แย่เลยคือวันนั้นฝนตกมาก แล้วรถบรรทุกเวลาขับบนเขา ดิ่งลง เราจะพยายามไม่เหยียบเบรก คือใช้เบรกน้อยที่สุด ถ้าเหยียบเบรกเยอะๆเดี๋ยวล้อจะร้อน วันนั้นเป็นวันที่ฝนตกหนักแล้วมันดิ่งลงมามากๆแล้วคันข้างหน้าเราก็ไม่รู้อีท่าไหน ภูเขามันโค้งแล้วดิ่งลง ก็ลงไปข้างหน้าลงเหวเลย เป็นอะไรที่แย่มาก ตอนนั้นใจหาย เป็นครั้งเดียวที่มีความรู้สึกว่า เราจะทำอาชีพนี้ได้นานหรือเปล่า คือความกลัวมันเริ่มมาแล้วตอนนั้น เพราะเราไม่เคยเห็นอะไรต่อหน้าต่อตาขนาดนั้นเลย
ครั้งที่สอง เป็นเหตุการณ์ รถตู้โดนอัด แล้วคนก็นั่งอยู่ในรถตู้เยอะ คือ รถตู้คันนี้ขับจี้รถบรรทุก แล้วเขาเบรก รถตู้เลยชน คนในรถแบนหมดเลย มันติดตา เป็นอะไรที่ทำให้เราท้อเหมือนกัน ไม่มีเหตุการณ์อะไรที่แย่ไปกว่านี้แล้ว
บริษัทที่หนูทำกฎระเบียบค่อนข้างเยอะ เช่น เราชนป้ายนิดๆหน่อยๆ ก็โดนไล่ออกแล้วนะ อย่างคนที่ติดตามเราทางเฟซบุ๊กจะบอกว่า ไลฟ์ให้ดูหน่อยตอนขับรถ ก็จะบอกเขาว่าทำไม่ได้นะ เพราะต่อให้เขาไม่เห็น ถ้าวันหน้าเขามาเห็น เขาไล่เราออกย้อนหลังได้ เพราะเป็นอะไรที่อันตราย
Q : มาตรฐานสูง กฎสุดเข้มงวด
A: ถ้าเป็นไข้ ไม่สบายจะกินยา ต้องถามเขาก่อนว่ายาตัวนี้กินได้หรือเปล่า คนที่จะมาขับรถบรรทุกได้จะต้องตรวจสุขภาพ คือต้องผ่านมาตรฐานของเขามาก่อน ว่าสุขภาพเป็นไง หู ตา ตรวจถึงขั้นที่ว่าดึงผมไป 3-4 กระจุก ไปตรวจ เพื่อนที่รู้จักก็โดนไล่ออกเพราะโดนสุ่มตรวจ คนขับรถบรรทุกจะมีสารอะไรในตัวไม่ได้เลย ถ้าเขามีก็โดนไล่ออกอย่างเดียว
อย่างวันหยุดเราดื่มแอลกอฮอล์ เบียร์ หรือเหล้า เราจะกลับไปนอนในรถไม่ได้ เพราะถ้าตำรวจเขาจะสุ่มตรวจ เขามาเคาะประตู ก็ให้เขาตรวจ คือปริมาณแอลกอฮอล์เบียร์แค่ 2 แก้ว นี่ก็โดนไล่ออกเลย แอลกอฮอล์ก็ห้ามมีอยู่บนรถ มันมีข้อห้ามหลายอย่าง
Q : ขับรถช่วงไหนอันตรายสุด
A: ช่วงฝนตกจะขับยากกว่าหิมะตก เพราะเราจะมีกฎว่าถึงฝนจะตก แต่รถหยุดไม่ได้ ห้ามหยุด คือขับไปช้าๆ แต่ถ้าหิมะตกมันแย่จริงๆ ผู้จัดการเขาจะบอกให้เราหยุดรถได้ แต่ถ้าฝนตก เราจะไปบอกเขาว่า ฝนตกขอหยุดรถ อย่างนี้เหรอ มันก็ไม่ได้ คือเหตุผลมันไม่มากพอ แต่ถ้าหิมะมันอันตราย เราสามารถที่จะขอเขาจอดรถได้ว่าขอไม่ขับนะ เพราะรู้สึกไม่ปลอดภัยแบบนี้ได้ แต่ถ้าฝนตกต้องวิ่งตลอด วิ่งช้า วิ่งเร็วก็แล้วแต่เรา
บางรัฐ เช่น รัฐไวโอมิ่ง ตอนนี้หิมะก็ตกแล้ว ถ้าช่วงซัมเมอร์จะเป็นช่วงที่ลมแรงมาก ขั้นที่ว่ารถบรรทุกจอดอยู่ยังโยกได้ อันตราย สามารถที่จะคว่ำได้เลย
มีครั้งนึงขับๆไปแล้วลมจะมาเป็นช่วงๆ วูบนึงใจเราหล่นแล้วไปแล้ว มันแรงจริงๆ ต้องขอเขาหยุด แต่ถ้าเป็นลมหิมะเราขอเขาหยุดได้ เพราะว่าลมมันอันตรายจริงๆ ถ้าลมมาแล้วรถคว่ำ ก็โดนไล่ออก เพราะเป็นความผิดของเรา ควรเช็กอากาศ อะไรก่อนที่จะเข้าไปรัฐตรงนั้น ว่าลมมันแรงแค่ไหน เหมือนอะไรที่เราป้องกันได้ เราต้องป้องกันก่อน มันไม่มีเหตุผลแก้ตัว ถ้ารถคว่ำขึ้นมาก็โดนไล่ออกอย่างเดียว
Q : ความแตกต่างระหว่างรถบรรทุกไทยกับอเมริกา
A : แตกต่างแทบทุกอย่างเลย งานของที่นี่จะเยอะกว่าที่ไทย ที่บ้านเรางานเยอะก็จริง แต่เงินที่ได้มามันไม่คุ้มกับค่ารถค่าน้ำมัน มีคนส่ง inbox มาคุยกับหนูว่า คุณผ่อนรถที่อเมริการู้มั้ยเท่ากับที่ฉันผ่อนรถบรรทุกที่นี่เลย หนูเข้าใจนะ อย่างบ้านหนู พ่อจะผ่อนรถเหมือนกัน แต่ว่าด้วยความที่เราวางเงินดาวน์สูงเราก็จะได้ผ่อนน้อย แต่คนที่วางเงินดาวน์ต่ำเขาต้องผ่อนถึงเดือนละแปดหมื่นเจ็ดหมื่นบาทไทยถือว่าเยอะอยู่นะ
อย่างพ่อหนู ช่วงที่งานน้อยก็จะไม่วิ่งรถเลย เพราะรู้ว่าจะได้ไม่คุ้มเสีย คำนวณดูแล้วได้กำไรแค่พันเดียว มันไม่คุ้ม เพราะว่า รถใหญ่เวลาซ่อมมันแพงมากกว่ารถเล็กๆ ฉะนั้นมันไม่คุ้มในการที่ไปทำงานได้กำไรวันละพัน จะจอดไว้เลย
แต่ที่อเมริกางานจะเยอะมาก และมีความทันสมัย เขาจะมีแอปฯสำหรับขับรถบรรทุก เราสามารถเลือกงานได้เลย ว่าจะไปส่งของระยะเท่านี้กี่กิโลเมตรแล้วจะได้ค่าตอบแทนเท่านี้ เขาจะมีข้อมูลทุกอย่างให้เราเลือกเอาเลย มันง่ายมาก
อีกอย่างกฎหมายของที่นี่ เขาดูแลทั้งคนใช้รถ ใช้ถนน คนที่ขับรถใหญ่ตำรวจเขาก็จ้องดูเราพอสมควร เพราะเราเป็น Professional Driver ต้องรู้จักวิธีรักษารถ ขับรถให้ดีกว่าชาวบ้านชาวเมืองเขา และกฎหมายที่อเมริกาก็เคร่งครัดมาก บ้านเราง่ายกว่า แต่ที่นี่ไม่มีเคลียร์ถนน ไม่มีเคลียร์ทาง มันทำไม่ได้
Q: ชอบ/ไม่ชอบ เส้นทางไหนมากที่สุด
A : หนูขับรถบรรทุก 48 รัฐ ในอเมริกา เขาส่งเราไปโหลดของที่รัฐไหนก็รัฐนั้น ส่วนเส้นทางที่ชอบ จะชอบรัฐเพนซิลเวเนีย จะเป็นเมืองเล็กๆ แต่ระหว่างทางจะมีสวนผลไม้ แอปเปิล องุ่น เยอะข้างทาง แล้วถนนก็ไม่ได้แย่ ส่วนเส้นทางที่ไม่ชอบที่สุดน่าจะเป็นที่หนูอยู่ คือรัฐเท็กซัส มันค่อนข้างจะคันทรี บ้านนอกหน่อย ถนนหนทางก็ไม่ค่อยดี แต่ถ้าหน้าหนาว เวลามีหิมะ ที่ไหนดีที่สุดก็คือเท็กซัส เพราะเท็กซัสไม่มีหิมะ
Q :ขับมา 2 ปีแล้วเริ่มเบื่อหรือยัง
A: หนูไม่รู้สึกเลยว่าเป็นการทำงาน คือวันๆ ตื่นขึ้นมาก็ต้องมาขับรถ เหมือนไม่ได้ไปทำงาน คือนอนชุดไหน ตื่นมาก็ทำงานชุดนั้น ฉะนั้นยังโอเคอยู่ยังไม่เบื่อ เหมือนมันอยู่ในคอมฟอร์ทโซนแล้วมั้ง ยังไม่คิดที่จะมองหาอาชีพอื่น ด้วยความที่รายได้มันค่อนข้างจะโอเค ถ้าเทียบกับทำงานอื่น ที่ทำงานหนักเหมือนกัน แต่ว่างานนี้ได้ค่าตอบแทนเยอะกว่า ฉะนั้นหนูก็ยังโอเคอยู่
สุดท้าย เธอทิ้งท้ายไว้ว่า สิ่งที่สำคัญในการขับรถบรรทุก นั่นคือ “สติ” “เพราะถ้าพลาด คือชีวิตเรา หรือไม่ก็คนที่เราไม่เคยรู้จักเขามาก่อนเลย”
ที่มา : LIEKR