"ใบเฟิร์น" จากเด็กวิ่งแคสงาน ที่ไม่มีใครเลือก สู่จุดที่คนยอมรับก้าวขึ้นแท่นนางเอกแถวหน้าของไทย

LIEKR:

เราไปแคสงานแล้วไม่ได้เลย รู้สึกสงสารแม่ แม่ก็บอก "เลิกไหมลูก? ไม่เห็นมีใครเลือกลูกเลย"

        เป็นอีกหนึ่งนักแสดงที่ต้องยอมรับเลยว่านับวันเธอคนนี้ก็ยิ่งโต ยิ่งเป๊ะ ทั้งความสวยและความสามารถ 

        ตั้งแต่เข้าวงการมาจนถึงปัจจุบัน เธอได้ผ่านงานแสดงทั้งมิวสิกวิดีโอ, ภาพยนตร์, ละคร รวมไปถึงการถ่ายแบบและโฆษณาต่าง ๆ ในหลากหลายบทบาท เสริมให้พัฒนาการของเธอก้าวกระโดดจนกระทั่งเป็นที่ยอมรับ และทำให้ผู้ชมต่างหลงรัก ไม่เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังโด่งดังไปถึงหลายประเทศในเอเชียอีกด้วย

        สำหรับ "ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก" จากเด็กสาวที่แจ้งเกิดใน บท "น้ำ" ลูกเป็ดขี้เหร่ที่แอบชอบรุ่นพี่ ในภาพยนตร์ “สิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่ารัก” เธอค่อย ๆ พัฒนาตัวเองมาบนเส้นทางบันเทิง ท่ามกลางการแข่งขัน และกระแสข่าวมากมาย 

        จนเธอเดินมาถึงตำแหน่งนางเอกแถวหน้าของเมืองไทย ที่ทุกคนยอมให้กับฝีมืที่ก้าวกระโดดไปเป็นที่เรียบร้อย จากบท "ก้านแก้ว" ในละคร "หลงไฟ" และเธอทำให้แฟนละครต้องหลั่งน้ำตาให้กับจุดจบของ "นิรา" สาวข้ามเพศในละคร "ใบไม้ที่ปลิดปลิว" 

        ส่งผลให้ตอนนี้ "ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก" มีแฟนละครทั้งในและต่างประเทศคอยติดตามความเคลื่อนไหวอย่างล้นหลาม พร้อมทั้งขึ้นแท่นสาวที่ฮอตที่สุดที่ผู้จ้างงานอีเว้นต์และโฆษณาต่าง ๆ ต้องการตัว

ภาพยนตร์ สิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่ารัก เพิ่งครบรอบ 9 ปี แฟน ๆ กลับมาตั้งกระทู้พูดถึงหนังเรื่องนี้กันเยอะมาก ?

        ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก : “9 ปี แล้ว ไวมาก เฟิร์นดีใจที่แฟน ๆ ยังคิดถึงหนังเรื่องนี้อยู่ เฟิร์นรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันมีความผูกพันแบบประหลาด มีพลังบางอย่างที่ทำให้เฟิร์นคิดถึงตลอดเวลา 

        อาจจะเพราะเฟิร์นแจ้งเกิดมาจากหนังเรื่องนี้ เฟิร์นกับแฟนคลับเป็นกลุ่มเป็นก้อนผูกพันกันมาได้เพราะสิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่ารัก ตั้งแต่หนังเข้าฉายวันแรกจนถึงวันนี้เขาก็ยังอยู่กับเฟิร์น มันชื่นใจนะที่เรายังอินในเรื่องเดียวกัน ยังยิ้มในเรื่องเดียวกันอยู่”

วันนั้นจนถึงวันนี้ชีวิตเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน ?

        ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก : “การใช้ชีวิตเปลี่ยนทุกอย่างเลยนะ ตอนนี้เฟิร์นรู้สึกมั่นคงในจุดที่เฟิร์นยืน ไม่ใช่เรื่อง ชื่อเสียง หรือ ตำแหน่ง หน้าที่ อะไรนะคะ แต่หมายถึงทัศนคติที่มองเรื่องต่าง ๆ อย่างเมื่อก่อน เวลาโดนคอมเมนต์เรื่องการแสดง เราอาจจะรู้สึกเฟล 

        แต่ ณ ตอนนี้ เฟิร์นรู้ว่าหน้าที่ของเฟิร์นคืออะไร เฟิร์นเห็นคุณค่าในสิ่งที่เฟิร์นทำมากขึ้น เป็นตัวของตัวเองได้อย่างมั่นใจขึ้นในทุก ๆ ก้าวเดิน เชื่อในจังหวะเวลา ตอนนี้ทุกอย่างค่อนข้างลงตัว เฟิร์นไม่ได้มองหาความเพอร์เฟกต์ใด ๆ ทุกวันนี้แค่ทำให้ดีที่สุด ปัจจัยอื่นเราก็ไม่ได้อยากไปควบคุมมัน ทุกวันนี้ เอ็นจอย ปล่อยทุกอย่างสบาย ๆ ค่ะ”

จำเป็นไหมว่าจะรับแต่บทที่หิน ๆ เพื่อให้คนจดจำเท่านั้น ?

        ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก : “เฟิร์นไม่เคยคิดเลยว่าต้องรับแต่บทที่ยากเพราะเฟิร์นเป็นคนตลก ชอบละครคอมเมดี้ แต่โอกาสที่เข้ามาแต่ละเรื่อง ต้องร้องโอ้โห! เลย ต้องถามพี่ผู้จัดว่า จะทำเรื่องนี้จริงเหรอ อ่านบทแล้วขนลุก เฟิร์นก็ไม่รู้หรอกว่าจะทำได้ไหม 

        แต่เรามีแพสชั่น เฟิร์นก็จะตั้งใจมาก ถ่ายเสร็จกลับบ้านมารู้สึกว่ายังเล่นไม่ดี ก็จะตั้งใจเพิ่มขึ้นอีกทุกวัน บางทีขับรถกลับบ้านแล้วรู้สึก ซีนนั้นก็เล่นไม่ดี ซีนนี้ก็เล่นไม่ได้ จนจะร้องไห้ กลับไปจะแก้ปัญหายังไง นอนไม่หลับ ก็ต้องตั้งใจทำการบ้านอ่านบทเยอะเข้าไปอีก เป็นแบบนี้ทุกวัน เอาจริง ๆ กดดันนะ แต่ลึก ๆ เรามีความสุขกับแรงกดดันนั้นค่ะ"

รู้สึกยังไงเวลามีคนเข้ามาบอกว่าเขายอมรับในฝีมือเรา ?

        ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก : “ดีใจ และขอบคุณมาก ๆ ค่ะ เฟิร์นว่าทักษะการแสดงของเฟิร์นมันเหมือนลิ้นชัก เช่น เมื่อก่อนเฟอร์นอาจจะแสดงบทร้องไห้เสียใจได้ห้าลิ้นชัก แต่ตอนนี้เฟิร์นอาจจะมีสักร้อนลิ้นชัก จากการสะสมประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา และมันอาจจะมีมากกว่านี้ได้อีก ตอนไหหนที่ต้องเล่นแค่ไหนเฟิร์นสามารถหยิบมาเล่นได้"

ได้ข่าวว่า ดราม่า จนร่างกายพัง ?

        ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก : “อันนี้เป็นข้อเสียข้อหนึ่งของการเล่นบทหนัก ๆ เพราะบางทีเราต้องแสดงอารมณ์เครียดเสียใจ เยอะ ๆ แล้วเหมือนมันฝังอยู่ในจิตสำนึก หรือ ร่างกายบางส่วนเรารู้ไม่ทัน เพราะบางทีเฟิร์นก็เจ็บกระเพาะเหมือนคนเครียดลงกระเพาะ ทั้ง ๆ ที่ตัวเฟิร์นเองจริง ๆ ไม่ได้เครียดอะไรเลย บางทีก็หดหู่ เศร้า ที่เป็นผลกระทบมาจากตัวละคร อย่างปีนี้ก็ถือว่าร่างกายพังมาก" 

แต่ก็รับงานไม่หยุด ?

        ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก : “ไม่หยุด เพราะเราสนุก (หัวเราะ) เวลาไปกองถ่าย เฟิร์นเล่นตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ เล่นกับพี่ทีมไฟ ทีมกล้อง ทุกคนเป็นเพื่อนเฟิร์นหมด คือ หน้าเซ็ทเฟิร์นยืนผิดที่ ตากล้องเดินมาตบหัว แล้วเขาก็หัวเราะกัน เราก็ เฮ้ย! นี่นางเอกไง (หัวเราะ) ตลก ๆ”

เรียกว่าเป็นปีทองได้ไหม ?

        ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก : “ถ้าปีทองหมายถึงงานเยอะ ก็อาจจะเป็นแบบนั้น แต่เฟิร์นจะมองถึงช่วงเวลาที่ ถ้าช่วงไหนเฟิร์นมีงานทำ ไม่เคว้งคว้าง ตื่นเต้น ท้าทายทุกวัน ไม่เบื่อ เฟิร์นว่าอันนั้นเป็นช่วงเวลาทองของเฟิร์นมากกว่า เฟิร์นก็ขอบคุณทุกโอกาสที่มอบให้เฟิร์นค่ะ ส่วนเรื่องรายได้ต่าง ๆ ที่เข้ามาเหมือนเป็นผลพลอยได้ เฟิร์นจะรู้สึกกับความเป็นนักแสดงมากกว่า หมายถึง มีความสุขกับการได้เล่นบทที่อยากเล่น ได้ทำงานร่วมกับทีมงานที่รู้สึกสนุกที่ทำงานด้วย อยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เรารู้สึกสนุก

        ทุกวันนี้เฟิร์นได้เลือกบทที่อยากเป็น ได้ถ่ายทอดในรูปแบบที่อยากถ่ายทอด แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว ต่างกับเมื่อก่อนที่เราเลือกไม่ได้ คนอื่นเลือกให้เรา เมื่อก่อนต้องเข้าไปแคสติ้งงาน กว่าจะได้งานสักงานนึง เราไม่เคยได้เป็นคนเลือก คนอื่นเป็นคนเลือกให้เรา ตอนเป็นเด็ก ๆ อาจจะได้ไปอยู่ที่ที่เรารู้สึกว่าเกร็งจังเลย ต้องทำในสิ่งที่เราไม่ชอบ ไม่อยากทำ ต้องทำเพราะเป็นหน้าที่ แต่ทุกวันนี้สิ่งที่ทำอยู่เฟิร์นต้องบอกว่าเป็นหน้าที่ที่เฟิร์นมีความสุขมาก (ลากเสียง) อาจจะเป็นปีทองก็ได้ที่เฟิร์นได้ทำทุกอย่างด้วยความสบายใจค่ะ”

กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ เคยล้มเลิกความตั้งใจกับเส้นทางนี้ไหม ?

        ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก : “มีบ้าง เราไปแคสงานแล้วไม่ได้เลย เลยรู้สึกสงสารแม่ ทุกครั้งที่ไปแคสแม่ก็จะมีความหวังว่าอยากให้ลูกได้งานนั้น เพราะบางทีลูกไปนั่งรอแคส 7 ชั่วโมง แต่เราเองก็รู้สึกว่าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะตั้งแต่ไหนแต่ไรไม่เคยรู้สึกอยากเป็นดาราเลย แค่มีพื้นที่ได้เล่นเป็นอะไรก็ได้ อย่างเมื่อก่อน ได้เป็น ต้นไม้ หมู หมา กา ไก่ ไม่ได้เป็นคนเลย (หัวเราะ) แค่นั้นเฟิร์นก็ดีใจแล้ว 

        แต่พอเราเห็นแม่ผิดหวังบ่อย ๆ เสียใจบ่อย ๆ เราก็สงสาร แม่ก็บอก "เลิกไหมลูก? ไม่เห็นมีใครเลือกลูกเลย" แม่ก็สงสารเรา แต่เราก็รู้ตัวว่าไม่ใช่คนสวย เป๊ะปัง ขนาดนั้น แต่ก็มีโอกาสเข้าไปแคสเรื่อย ๆ จนได้เล่นละครเล่นหนังไปเรื่อย ๆ ค่ะ"

ช่วงที่ล้มเลิกความตั้งใจ แล้วเอาแรงฮึดจากไหนมาเดินต่อ ?

        ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก : “อาจจะเป็นเพราะว่า เฟิร์นไม่ได้รู้สึกว่าเฟิร์นกำลังแข่งกับใครเลย แค่รู้สึกว่าอยากให้เขาเลือกเราเพราะเราอยากแสดง ไม่ได้อยากให้เขาเลือกเราเพราะเราอยากได้งานมากกว่าคนนั้น หรือตัดหน้าคนนี้ มันเลยไม่ได้รู้สึกว่าเราทุกข์ร้อนอะไร เวลาไม่ได้งานเราก็จะเสียดายแค่ ไม่ได้เล่นบทนั้น ๆ เท่านั้นเอง จนทุกวันนี้ก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่”

เคยคิดเล่นๆ ไหม ถ้าไม่ได้เป็นใบเฟิร์นแบบวันนี้จะไปอยู่จุดไหน ?

        ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก : “เฟิร์นเป็นอะไรก็ได้เลย (หัวเราะ) เป็นพนักงานเงินเดือนอะไรก็ได้ เฟิร์นไม่ใช่คนใช้ของแพง ไม่กินของแพง เฟิร์นมาจากบ้าน ๆ ธรรมดาทั่วไป มีความสุขตามอรรถภาพ สมมติว่า ณ วันหนึ่ง สิ่งที่ทำมาหายหมดเลย เฟิร์นก็สามารถเป็นพนักงานอะไรก็ได้ ไปอยู่ที่ไหนก็ได้ แค่มีเพื่อนเดินไปกินข้าวกลางวันด้วยกัน แล้วกลับมาทำงานต่อ กลับบ้าน นอนดูซีรีส์ เฟิร์นก็อยู่ได้เลย"

ในมุมมองของตัวเอง คิดว่าเราประสบความสำเร็จหรือยัง ?

        ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก : “เฟิร์นคิดว่าประสบความสำเร็จแล้ว แต่ยังสามารถดีขึ้นได้อีก ในประตูบานถัด ๆ ไป แค่ เฟิร์นได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เฟิร์นมีความสุข ครอบครัวเฟิร์นอยู่ได้ เฟิร์นทำงานได้ดีไม่มีบกพร่อง ไม่ทำให้ทีมงานผิดหวัง ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน แค่นี้แฮปปี้แล้ว”

เรื่องงานแฮปปี้มาก ๆ แล้วเรื่องความรักล่ะ เห็นก่อนหน้านี้เคยให้สัมภาษณ์ว่า "เข็ด" ?

        ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก : “ไม่เข็ด ๆ ไม่ได้รู้สึกฝังใจขนาดนั้น ตอนนี้ไม่เหมือนช่วงแรก ๆ ที่รู้สึกว่า "ฉันจะไม่มีความรักอีกแล้ว" แต่ตอนนี้ก็ไม่ได้บอกว่าจะต้องมีแค่รู้สึกเฉย ๆ กับความรักมากเลย เวลาเยียวยาเราจริง ๆ 

        ทุกวันนี้มีคนแนะนำใครให้รู้จัก เราก็จะบอกว่าเอาไว้ค่อยว่ากันดีกว่า ตอนนี้ยังไม่ได้จริง ๆ ปกติเฟิร์นไม่ใช่คนมีสเปก ไม่ได้สนใจฐานะ หรือ หน้าตาอะไรเลยนะ แค่เขาเข้ามาแล้วทำให้เรารู้สึกใช่ก็พอ เหมือนเราเล่นละครเยอะ (หัวเราะ) ก็มองว่าความรักเป็นเรื่องของความรู้สึก”

ความรักที่ผ่านพ้นไปสอนอะไรบ้าง ?

        ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก : “สอนให้รู้ว่า บางสิ่งที่เราคิดว่ามันคือทั้งหมดแล้ว มันเป็นแค่จุดเล็ก ๆ เท่านั้นเองสำหรับโลกใบนี้ ถ้าเราตระหนักตรงนี้ได้เราจะรู้เลยว่า อะไรที่เราอยากจะเชื่อ อยากจะคิด มันเป็นแค่ทางใดทางหนึ่ง ยังมีเรื่องที่เราต้องเข้าไปเรียนรู้อีกมากเลย ก่อนจะตัดสินทุกอย่างว่า ดี ว่าใช่ หรืออะไร ไม่ดี ไม่ใช่ เฟิร์นยังโลกแคบมาก แต่ถ้ามีคนเข้ามาแล้วรู้สึกใช่ก็ยินดี”

ความรู้สึก “ใช่” ที่ว่า ต้องเป็นประมาณไหน ?

        ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก : “ตอนเด็ก ๆ เป็นเรื่องของความรู้สึกล้วน ๆ เลย ต้องคิดถึง ต้องรู้สึกดี รู้สึกว่าอยากแต่งงานด้วย อยากมีครอบครัว ก็เป็นเหมือนความฝันของเด็กสาวทุกคน แต่เราไม่ได้เจอผู้ชายที่จะพาเราไปถึงการแต่งงานมีครอบครัว เราแค่เอาคำว่าแต่งงาน ครอบครัวไปสวมไว้กับใครสักคนหนึ่งที่เข้ามาในชีวิต แล้วหลับหูหลับตาผ่านทุกอย่างในชีวิตไป เพื่อว่าวันนึงฉันจะได้แต่งงานเหมือนในฝัน เหมือนเราคิดว่า ปลายทางคือการแต่งงาน แต่จริง  ๆ คือการเริ่มต้น ที่เราต้องแบกทุกอย่าง ถ้าถามเฟิร์นเรื่องนี้เมื่อ 2 หรือ 3 ปีที่แล้ว เฟิร์นก็จะบอกแค่ว่า ฉันจะแต่ง ฉันจะแต่งเดี๋ยวนี้ ฉันต้องได้แต่งงาน (หัวเราะ)”

การจะเข้าไปใช้สถานะแฟนกับใครสักคน สำหรับเฟิร์นยากขึ้นมากไหม ?

        ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก : “ยากขึ้นมาก จะว่ากลัวก็ไม่ขนาดนั้น แต่เฟิร์นรู้ตัวว่าเฟิร์นรู้อะไรน้อย แล้วก็ไม่ได้มั่นใจในสิ่งที่จะเจออะไรขนาดนั้นแล้ว ยิ่งเฟิร์นมีพาร์ทที่เฟิร์นมีความสุขมาก ๆ กับการทำงาน อยู่กับเพื่อน กับคนในกอง เฟิร์นก็ไม่มีเวลาไปโหยหาจุดนั้นเลยค่ะ"

ยังมีความหวังเรื่องแต่งงานอยู่ไหม หรือ ไม่แต่งก็ได้ ?

        ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก : “ลึก ๆ ก็หวังว่าจะเจอใครสักคนที่พาเราไปถึงจุดแต่งงาน แต่จะไม่เอาจุดแต่งงานมาตั้งแล้วเอาใครสักคนมาสวมแล้ว”

ฝากถึงแฟน ๆ ที่ติดตามเราหน่อย ?

        ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก : “ขอบคุณทุกคนที่เชื่อมั่นในตัวเฟิร์น ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอดตั้งแต่ยังเด็ก ๆ ตั้งแต่ยังไม่มีอะไรเลย ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ”

ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก sanook, Instagram baifernbah

บทความที่คุณอาจสนใจ